วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2562

การใช้สัตว์ประกอบกามกิจ ถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร จากกรณีชาวบ้านพบชายสูงอายุกระทำอนาจารวัวเพศเมีย อายุประมาณ 2 ปี ที่หากินอยู่บริเวณชายป่า โดยชายสูงอายุให้การด้วยใบหน้าที่อมยิ้มโดยอ้างว่า ตนยังไม่ได้ลงมือทำอนาจาร



การใช้สัตว์ประกอบกามกิจ ถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร
จากกรณีชาวบ้านพบชายสูงอายุกระทำอนาจารวัวเพศเมีย อายุประมาณ 2 ปี ที่หากินอยู่บริเวณชายป่า โดยชายสูงอายุให้การด้วยใบหน้าที่อมยิ้มโดยอ้างว่า ตนยังไม่ได้ลงมือทำอนาจารหรือข่มขืนวัว เนื่องจากเจ้าของมาพบเสียก่อน แต่ยอมรับว่าเคยข่มขืนวัวตัวนี้มาแล้ว 2 ครั้ง เพราะทำตามเพื่อนอีกคน ที่เคยข่มขืนวัวมาก่อน จึงนึกสนุกอย่างลองทำบ้าง แต่ครั้งนี้ยังไม่เสร็จเพราะวัวดิ้นและเจ้าของตามมาพบเสียก่อนนั้น
ดร.สาธิต ปรัชญาอริยะกุล เลขาธิการและผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ได้กำหนดนิยามการทารุณกรรมสัตว์ ตามมาตรา 3 ว่า การทารุณกรรม หมายความว่า การกระทำหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ ที่ทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ ได้รับความเจ็บปวด ความเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือ อาจมีผลทำให้สัตว์นั้นตาย และให้หมายความรวมถึงการใช้สัตว์พิการ สัตว์เจ็บป่วย สัตว์ชรา หรือสัตว์ที่กำลังตั้งท้องเพื่อแสวงหาประโยชน์ ใช้สัตว์ประกอบกามกิจ ใช้สัตว์ทำงานจนเกินสมควร หรือใช้ให้ทำงานอันไม่สมควรเพราะเหตุสัตว์นั้นเจ็บป่วย ชราหรืออ่อนอายุ


ดังนั้นจากนิยามดังกล่าว จึงถือว่า การใช้สัตว์เพื่อประกอบกามกิจถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 31 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาพฤติการณ์แห่งกรณี ๆ ตามประจักษ์พยาน หลักฐานและข้อเท็จจริงประกอบเจตนาของผู้กระทำด้วย
สำหรับพฤติกรรมนอกจากการใช้สัตว์ประกอบกามกิจ ที่เข้าข่ายลักษณะการทารุณกรรมสัตว์อันไม่สมควรแล้วยังมีกรณีตัวอย่างอื่น ๆ ตามคำนิยามการทารุณกรรมสัตว์ ในมาตรา 3  ประกอบมาตรา 20 และมาตรา 31 ที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาตัดสินและวางบรรทัดฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าวไว้ เช่น การใช้มีดขว้างใส่ใบหน้าสุนัข ศาลให้จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี การใช้ยาพิษฆ่าสุนัข  ศาลตัดสินในความผิดทำให้เสียทรัพย์ ลงโทษกระทงละ 6,000 บาท สองกระทง รวมปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกเป็นเวลา 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพและจำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี ส่วนโทษปรับลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 6,000 บาท กรณีการฆ่าสุนัขและถ่ายคลิปวิดีโอออกเผยแพร่ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ศาลพิพากษาจำเลยที่ 1 ผู้โพสต์คลิปฆ่าโหดสุนัข ในเฟชบุ๊ค จำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงโทษ ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ฆ่าสุนัข ให้จำคุก 3 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยไม่รอการลงโทษ


กรณีการฆ่าและชำแหละสุนัขเพื่อจำหน่ายจำนวน 14 ตัว ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี กรณีการโยนสุนัขลงจากที่สูงจนตาย ศาลพิพากษาตัดสิน ในความผิดทำให้เสียทรัพย์ เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุดฐานกระทำให้เสียทรัพย์ลงโทษจำคุก 4 เดือน คำให้การเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน แต่พฤติกรรมของจำเลย ทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดจนตาย และทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ ไม่มีเหตุให้ลดโทษให้และไม่รอการลงโทษ กรณีการใช้ปืนยิงสุนัข ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 และ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้คำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท ฐานพาอาวุธปืนฯ จำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท ฐานกระทำทารุณสัตว์ฯ จำคุก 6 เดือน ปรับ 5,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานพกพาอาวุธปืน จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท ฐานการกระทำการทารุณสัตว์ จำคุก 3 เดือน ปรับ 2,500 บาท รวมโทษจำคุกเป็นเวลา 14 เดือน ปรับ 7,500 บาท ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องรับโทษมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี พร้อมให้ควบคุมความประพฤติ เป็นเวลา 1 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติจำนวน 4 ครั้ง และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ 12 ชั่วโมง กรณีการใช้อาวุธมีดและเหล็กทำร้ายสุนัข  ศาลพิพากษาให้จำคุก 4 เดือนแต่จำเลยรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 เดือน  แต่การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ศาลจึงไม่รอการลงโทษ แต่การกระทำนั้นเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบที่บุตรสาวเคยถูกสุนัขกัด ศาลจึงเปลี่ยนจากโทษจำคุกให้เป็นกักขังแทน และจำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษา กรณีการฆ่าแมวที่รับมาอุปการะ จำนวน 9 ตัว ศาลได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์


พ.ศ.2557 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 381 ให้ลงโทษบทหนักสุด ให้จำคุก 9 กระทง กระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 36 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 9 กระทงๆ ละ 2 เดือน โดยรวมจำคุก 18 เดือน แต่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้โทษจำคุกมาก่อน จึงไม่มีเหตุแห่งการลงโทษ คดีนี้จำเลยได้ยื่นต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
กฎหมายจึงเป็นเรื่องของหลักการ ที่ทุกคนควรต้องทราบและต้องถือปฏิบัติอย่างเสมอภาพเท่าเทียมกัน สำหรับพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ.2557 นั้นเป็นกฎหมายและเครื่องมือในการอำนวยความยุติธรรม ในการต่อสู้กับเจตนาร้ายที่คนมีต่อสัตว์เท่านั้น กรณีตัวอย่างการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวก็จะเป็นอุทาหรณ์และบรรทัดฐานทางสังคม  ในการกระทำต่อสัตว์ที่ขาดความเมตตาและความรับผิดชอบทั้งต่อตัวสัตว์เองและผู้อื่นอีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

"รมช.ศธ.3 !!เปิดงาน "สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”




"รมช.ศธ.3 !!เปิดงาน "สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย
ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช. ศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด ครูประวัติศาสตร์ชาติไทย ของสำนักงาน กศน. ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ครูผู้สอนประวัติศาสตร์ บุคลากร กศน. ที่ผ่านการอบรมจิตอาสา 904 วิทยากร ผู้บริหารในส่วนภูมิภาค และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 1,490 คน





สำนักงาน กศน.ได้ดำเนินการจัดโครงการอบรมประวัติศาสตร์ชาติไทยและบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยให้แก่ครู กศน. ทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 และได้ขยายผลการดำเนินงานจัดอบรมหลักสูตรแบบเข้มข้นภายใต้โครงการ “การอบรมวิทยากรประวัติศาสตร์ชาติไทย” เพื่อสร้างครูผู้สอนประวัติศาสตร์ชาติไทยในสังกัดสำนักงาน กศน.ในอันที่จะสืบสาน รักษา ต่อยอดตามพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งสำนักงาน กศน. ได้จัดงาน “สืบสาน รักษา ต่อยอดครูประวัติศาสตร์ชาติไทยของสำนักงาน กศน. ถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2562 และเพื่อเผยแพร่การดำเนินงานการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของครู กศน. ทั่วประเทศที่ผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าว เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจให้แก่ครู กศน. ในการที่จะปฏิบัติภารกิจต่อไป



         
ดร.กนกวรรณ รมช.ศธ.กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิดงานว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเวลายาวนาน สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์แห่งการดำรงอยู่ของชาติไทย ทุกคราวที่ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤตนานาประการ ประเทศชาติก็สามารถผ่านพ้นมาได้เสมอ ด้วยพระบารมีแห่งองค์บูรพมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ตราบจนปัจจุบันนี้




ดังนั้น การเผยแพร่ความรู้ การสอนให้เยาวชน ประชาชนไทยได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างจิตสำนึกและอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และขอชื่นชมครู กศน.และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านในการปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเข้มแข็งและสร้างสรรค์ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการประกาศศักยภาพของครู กศน. ที่มากกว่าการเป็นครูสอนด้านวิชาการ แต่เป็นครูที่สามารถสร้างอุดมการณ์ในการเป็นพลเมืองที่ดี เป็นพลเมืองที่มีจิตสำนึกรักชาติ ศาสนา




และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศชาติให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสืบสาน รักษา และต่อยอดอุดมการณ์ดังกล่าวของครู กศน. จะคงอยู่และสามารถขยายผลไปสู่นักศึกษาและประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป!!

"เสมา 3 ห่วงใยประชาชน สั่ง กศน. ปูพรมให้ความรู้ประชาชน รับมือโรคติดต่อที่มาพร้อมกับหน้าฝน!!



"เสมา 3 ห่วงใยประชาชน สั่ง กศน. ปูพรมให้ความรู้ประชาชน รับมือโรคติดต่อที่มาพร้อมกับหน้าฝน!!

ดร.กนกวรรณ  วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความห่วงใยต่อประชาชน ขอให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพร่างกายในช่วงฤดูฝน กำชับให้ กศน. บูรณาการร่วมกับสถานพยาบาลของรัฐ เช่น รพ.สต. หรือ อสม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ให้คำแนะนำ รณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนในการรักษาสุขภาพ และความปลอดภัยในช่วงหน้าฝน

ดร.กนกวรรณ  วิลาวัลย์ กล่าวแสดงความห่วงใยในสุขภาพและการเดินทางของนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ว่า “ ในช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ และในบางพื้นที่มีพายุ ฝนตกหนักเกือบทุกวัน อากาศที่เย็นลงและความชื้นที่เพิ่มขึ้นแม้จะช่วยคลายความร้อนลงได้มาก แต่ความชื้นที่เพิ่มมากขึ้นนี้เองที่กลับเปิดโอกาสให้เชื้อโรคหลายๆ ชนิด เติบโตและแพร่กระจายได้มากขึ้นไปด้วย เพราะในฤดูฝนอากาศยังค่อนข้างเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น ฝนตก อบอ้าวทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน อาจเกิดอาการเจ็บป่วยในที่สุด โดยเฉพาะ 5 กลุ่มโรคติดต่อ  ที่มักเกิดขึ้นในหน้าฝน ที่ต้องระวังเป็นพิเศษตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเตือน ได้แก่
1. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน  อาหารเป็นพิษ ไทฟอยด์ บิด  เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ และบี
2. กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ หวัด หลอดลมอักเสบ  ปอดอักเสบ
3. กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ได้แก่ ไข้เลือดออก  ไข้สมองอักเสบเจอี  โรคมาลาเรีย
4. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผล หรือเยื่อบุผิวหนัง ได้แก่ โรคไข้ฉี่หนู หรือแลปโตสไปโรซิส
5. กลุ่มโรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือโรคตาแดง

ตนจึงได้กำชับให้ กศน. ทั่วประเทศประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้แนะนำแก่ประชาชนโดยประสานและบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมถึงการดูแล ป้องกันภัยสำหรับตนเองและบุตรหลาน เมื่อเกิดอุทกภัยหรือน้ำท่วมขัง เช่น ภัยจากสัตว์เลื้อยคลาน และภัยจากกระแสไฟฟ้าที่อาจรั่วซึม เป็นต้น
นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สำนักงาน กศน.และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ สช. แจ้งสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัดให้พิจารณาและระมัดระวังเรื่องการสัญจรในหน้าฝนโดยเฉพาะการจัดทัศนศึกษา หรือศึกษาดูงานของนักเรียน นักศึกษาและบุคลากร โดยก่อนการเดินทางผู้ขับขี่ต้องเตรียมคนขับและยานพาหนะให้พร้อมก่อนการเดินทาง โดยเน้นเตรียมความพร้อมสภาพร่างกายคนขับ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการขับรถติดต่อกันเป็นเวลานาน หากต้องเดินทางไกลควรแวะพักเป็นระยะหรือมีคนขับสับเปลี่ยนกัน ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกชนิดหรือทานยาที่ทำให้ง่วง เช่น ยาลดน้ำมูก ยาภูมิแพ้ ยาแก้ไอ เป็นต้น  และขอให้ตรวจสอบสภาพรถ ตรวจเช็คลมยาง ไฟส่องสว่างและไฟเลี้ยว ตรวจระบบเบรกให้มีความสมบูรณ์สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด  เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงงดเดินทางในเวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและครู ดังนั้นขอให้หน่วยงาน สถานศึกษาทุกแห่งให้ความสำคัญในความปลอดภัยและสุขภาพของนักเรียน เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ที่อาจจะเกิดขึ้น” ดร.กนกวรรณ  กล่าว!!

"บริษัทสหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน)ฉลองครบรอบ 68 ปี ก้าวปีที่ 69 ประสบความสำเร็จ อย่างมั่นคง!!



"บริษัทสหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน)ฉลองครบรอบ 68 ปี ก้าวปีที่ 69 ประสบความสำเร็จ อย่างมั่นคง!!

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00 น.ณ บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษา พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ รัตนเดชาพิพัฒน์ ผู้บริหารระดับสูง,พล.ท.สราวุธ กาพย์เดโช รองกรรมการผู้จัดการ, น.ส.มัลลิกา โกวิทคณิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รวมทั้ง ผู้บริหาร พนักงาน ได้ร่วมกันจัดงานทำบุญฉลองครบรอบ 68 ปี ก้าวปีที่ 69 ในการก่อตั้ง บริษัทสหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น
บริษัท ประกันวินาศภัย ที่ได้รับความเชื่อถือ มากว่า 68 ปี โดยมีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ เป็นบริษัทประกันวินาศภัยที่มีการพัฒนาดีเด่น ประจำปี 2557





ประวัติความเป็นมา บริษัทสหมงคลประกันภัย จำกัด(มหาชน)เริ่มก่อตั้งโดยกลุ่มธุรกิจค้าข้าวสารและพืชผลทางการเกษตร ซึ่งดำเนินธุรกิจส่งออกสินค้าเกษตรไปจำหน่ายยังต่างประเทศ รวมทั้งให้เช่าคลังสินค้า เพื่อเป็นที่พักสินค้าขณะรอการส่งออก ต่อมาได้ขยายธุรกิจทางด้านการรับประกันอัคคีภัย จึงได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อ “บริษัท สหมงคลประกันภัยและคลังสินค้า จำกัด”เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2494 ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 บริษัทได้หันมาเน้นการดำเนินธุรกิจด้านการประกันภัยเพียงอย่างเดียวและทำการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น“บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด” หรือ "THE UNION PROSPERS INSSURANCE COMPANY LIMITED" ซึ่งมีความหมายว่า“โชคดีมีชัยด้วยความร่ำรวยและประสบความสำเร็จร่วมกันอย่างสมบูรณ์พูนสุข”





จากนั้นบริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2555 โดยใช้ชื่อ“บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด(มหาชน)”ด้วยทุนจดทะเบียน 280 ล้านบาท ด้วยประสบการณ์อันยาวนาน ภายใต้การบริหารงานอย่างโปร่งใสและนโยบายการให้บริการด้วยความซื่อตรง เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้ บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรมหาชนที่เติบโตอย่างมั่นคง มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีบริการที่เป็นเลิศเพื่อให้ลูกค้าไว้วางใจและได้รับความพึงพอใจสูงสุดตลอดไป





นอกจากนี้ ในรากฐานแห่งความมั่นคง
ถือว่าเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง ของบริษัทสหมงคลประกันภัย จำกัด(มหาชน) ที่ได้รับความไว้วางใจ จากนักลงทุนประเทศจีน ที่มีความรู้ ความสามารถ ด้านประกันวินาศภัยที่มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีระบบงานที่เป็นมาตรฐาน ให้บริการที่สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน"




เพื่อก้าวสู่ปีที่ 69 นี้ บริษัท สหมงคลประกันภัยจำกัด (มหาชน)ได้มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันภัยที่ทันสมัย พร้อมคิดค้นออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้ครบวงจร เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการใช้บริการที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัท สหมงคลประกันภัยจำกัด (มหาชน)ยังได้มีการนำเทคโนโลยีอันทันสมัยมาใช้ในการดำเนินธุรกิจและให้บริการเพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว มีคุณภาพ ในทุกเวลา และทุกสถานที่ตอบรับการเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังขยายตัวในยุค 4.0 อย่างต่อเนื่องในอนาคต




การดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทประสบความสำเร็จมาโดยตลอดและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเสมอมา จวบจนถึงปัจจุบันบริษัทได้ให้บริการแก่ลูกค้ามาเป็นระยะเวลา 69 ปี ด้วยคำขวัญที่ว่า “โชคดี มีชัย ด้วยความ ร่ำรวย และ ประสบความสำเร็จ ร่วมกัน อย่างสมบูรณ์"

เปิดเส้นทาง “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” สตูล เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล จับมือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดโครงการ “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10



เปิดเส้นทาง “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” สตูล เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง
องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล จับมือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดโครงการ “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง พร้อมนำผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งจังหวัดสตูล มาโชว์เคส แนะนำแพ็คเกจท่องเที่ยวใหม่ๆ มาพบการกับ สมาคมท่องเที่ยว เอเยนต์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากส่วนกลาง หวังกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวรับไฮซีซั่น



นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดท่องเที่ยวในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานเปิดงาน “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” สตูลเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง พร้อมด้วย นายวรศิษฐ์ เลียงประสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสตูล นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล นายทศพล สวัสดิสุข ปลัดจังหวัดสตูล นายสุเทพ เกื้อสังข์ รองผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) นายนิธี สีแพร ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ว่าที่ร้อยตรีอเนก นุรักษ์ รองประธานสมาพันธ์ธุรกิจท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย



(TFOPTA) สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (สนท.) นำโดยนายพงศกร ชูวิชา นายกสมาคมฯ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) นำโดยนายธนวัฒน์ ทองเพิ่ม รองนายกสมาคมฯ สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) นำโดยคุณจิรพร อมรวิสุทธิ์กุล นายกสมาคมฯ สมาคมธุรกิจการนำเที่ยว (ATTA) นำโดยพลเอก ชาติชาย ขันสุวรรณ ที่ปรีกษาประธานสภาฯ และสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย นำโดยคุณศรีพิจิตต์ เติมชัยเจริญศักดิ์ อุปนายกสมาคมฯ ร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ  ห้องแกรนด์รัชดา โรงแรมเจ้าพระยา ปาร์ค กรุงเทพมหานคร



นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “จังหวัดสตูลมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งบนบก และทางทะเลที่สวยงาม รวมถึงศิลปะทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เป็นแหล่งมรกดโลกทางธรณีวิทยา อันล้ำค่าของประเทศไทยและของโลก จากการประกาศของ UNESCO ให้อุทยานธรณีสตูล เป็นอุทยานธรณีโลก Geopark ทำให้ในปีที่ผ่านมามีทั้งท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดสตูลเป็นจำนวนมาก



งาน “Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์” สตูล เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง ในวันนี้มีผู้ประกอบการจากจังหวัดสตูล กว่า 40 ราย ได้มาพบกับผู้ประกอบการจากสมาคมการท่องเที่ยวทั้ง 5 สมาคม กว่า 60 ราย ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวให้เข้าไปในพื้นที่จังหวัดสตูลเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดสตูล ในโครงการ ชีพจรลง South ช่วงกรีนซีซั่น ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้วย



              นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้ทาง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ได้นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล มาพบปะพูดคุยกับ โชว์เคส แนะนำแพ็คเกจท่องเที่ยวใหม่ๆ มาพบการกับ สมาคมท่องเที่ยว เอเยนต์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากส่วนกลาง หวังกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวรับไฮซีซั่น
นอกจากนี้เรายัง เปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 10 เส้นทาง ในโครงการ ” Satun wonderland ดินแดนมหัศจรรย์ ประกอบด้วย ปราสาทหินพันยอด ถ้ำเลสเตโกดอน สันหลังมังกร ถ้ำภูผาเพชร เกาะตะรุเตา เกาะบุโหลน เกาะหินงาม เขาบอฆะ ควนโดน หอขาวเกาะสาหร่าย และ บ่อน้ำพุร้อน ทุ่งนุ้ย ผลักดันให้ นักท่องเที่ยวรู้จักสตูล ในมุมมองใหม่ๆ ที่หลากหลาย กระจายรายได้ทั่วพื้นที่สู่ชุมชน และสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี”


** แล้งนี้ ไม่แล้งน้ำใจ ... “ป่อเต็กตึ๊ง”นำเครื่องอุปโภคบริโภคมอบให้กับผู้ประสบภัยแล้งจ.บุรีรัมย์ **



** แล้งนี้ ไม่แล้งน้ำใจ ... “ป่อเต็กตึ๊ง”นำเครื่องอุปโภคบริโภคมอบให้กับผู้ประสบภัยแล้งจ.บุรีรัมย์  **
-----
วันนี้ (29 สิงหาคม 62) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดยคุณศิริพร กระจ่างหล้า ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ ร่วมกับมูลนิธิสว่างจรรยาธรรม จ.บุรีรัมย์ มอบเครื่องอุปโภคบริโภค แก่ประชาชนในพื้นที่ ต.อีสานเขต อ.เฉลิมพระเกียรติ และ ต.ส้มป่อย อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ในโครงการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยแล้ง รวมจำนวน 1,000 ชุด รวมงบประมาณเป็นเงิน 350,000 บาท (สามแสนห้าหมื่นบาท) โดยมีหน่วยงานราชการร่วมในพิธี



.
 โดยในวันพรุ่งนี้ (30ส.ค.62) ทีมสังคมสงเคราะห์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจะออกเดินทางไปยังอำเภอเมืองสุรินทร์  และอำเภอลำดวน จ.สุรินทร์ เพื่อมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบภัยแล้ง เป็นลำดับต่อไป



.
โดยในปี 2562 นี้ มูลนิธิฯ กำหนดออกเดินทางช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน “โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง” ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ นครราชสีมา ยโสธร บุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ และขอนแก่น รวม 8 จังหวัดๆ ละ 1,000 ชุด รวมงบประมาณเป็นเงินทั้งสิ้น 2,800,000 บาท (สองล้านแปดแสนบาทถ้วน)