วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561





เดอะโจ๊ก!!! แถลง 4 คดีรวด ทั้ง ทลายปาร์ตี้สวิงกิ้ง ,แสร้งรักออนไลน์ ,ขู่กรรโชกนักธุรกิจ ,คนจีนหนีกบดานไทย

น.ส.พ.เสียงสัมพันธ์

เดอะโจ๊ก!!! แถลง 4 คดีรวด ทั้ง ทลายปาร์ตี้สวิงกิ้ง ,แสร้งรักออนไลน์ ,ขู่กรรโชกนักธุรกิจ ,คนจีนหนีกบดานไทย

ทลายปาร์ตี้สวิงกิ้ง

คดีที่ 1 ตามนโยบายของรัฐบาลในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อันเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้สนองนโยบายของรัฐบาลโดยกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. ,พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รรท.ผบก.ตม.3 สตม. ,พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รรท.ผบก.จร. ,พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. ได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการที่ 26 และ 27 ศปอส.ตร. ร่วมกับ บก.ปคม. ,กก.สส.บก.น.4 ,บช.ปส. และสน.วังทองหลาง ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทุกราย





สืบเนื่องจากมีพลเมืองดีแจ้งเข้ามาที่ เฟสบุ๊ค “สุรเชษฐ์ หักพาล” ว่ามีบุคคลผู้ใช้งานแอพฟลิเคชั่นบีทอค(Beetalk) ชื่อ “taiza” ซึ่งได้โพสต์ข้อความจัดหาคนและสถานที่สำหรับการสวิงกิ้ง (การมีเพศสัมพันธ์จำนวนหลายคนโดยมีลักษณะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน) โดยมีการเก็บเงินสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนเงิน 1,800 บาท ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้ทำการสืบสวนด้วยวิธีการส่งสายลับเข้าแฝงตัวในกลุ่มผู้ร่วมกิจกรรมสวิงกิ้ง จนทราบว่าผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นดังกล่าว คือ



น.ส.ภัสสรัณญ์ ถึกป่าย และจะจัดกิจกรรมสวิงกิ้ง ในวันที่ 20 ตุลาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. ถึง วันที่ 21 ตุลาคม 2561 เวลา 03.00 น. ที่ ห้องโคลงเคลงช้าง โรงแรมโยทะกาบูทีค เลขที่ 246/7 ซอยลาดพร้าว122 แยก24 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงได้วางแผนจับกุมโดยได้ส่งสายลับเข้าร่วมกิจกรรมสวิงกิ้งตามเวลาและสถานที่ดังกล่าว เมื่อสายลับส่งสัญญาณว่าได้มีการร่วมประเวณีกัน เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจึงได้เข้าตรวจค้นจับกุม





เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้จับกุมผู้ต้องหา 2 คน และทำการตรวจสารเสพติดผู้ร่วมกิจกรรมสวิงกิ้ง จำนวน 19 คน (ชาย 8 คน และหญิง 11 คน) ดังนี้
จับกุม 1.น.ส.ภัสสรัณญ์ ถึกป่าย สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย อายุ 39 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 646/15 ซอยลาดพร้าว47 แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ส่วนผลการตรวจสารเสพติดผู้ร่วมกิจกรรม ไม่พบสารเสพติดในร่างกายแต่อย่างใด

แถลงข่าวจับกุมคนร้ายเครือข่ายหลอกลวงแสร้งรักออนไลน์(ROMANCE SCAM)

คดีที่ 2 ดำเนินการปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดและส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติการณ์ในการใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนทั่วไป และมีผู้หลงเชื่อ ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวเกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) อำนวยการโดย พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม., พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รรท.ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รรท.ผบก.จร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศูนย์ ศปอส.ตร.




ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ศปอส.ตร. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.สมุทรปราการ บก.ตม.3 ได้ร่วมกันจับกุมตัว
1. Mr.Felix Mario สัญชาติกินี หมายเลขหนังสือเดินทาง AAIN47674 ( Overstay 572 วัน )2. Mr.สัญชาติกินี หมายเลขหนังสือเดินทาง AAIN67108 ( Overstay 404 วัน )
โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุด” หรือ “Over Stay” ได้ที่บริเวณ
หน้าบ้านเลขที่ 8/326 หมู่บ้านอินดี้ ม.9 ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้งสองไว้ได้ และจากการตรวจสอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาทั้งสองที่ตรวจยึดได้ขณะทำการจับกุมนั้น พบว่ามีการรับ-ส่งข้อมูล ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของคนไทยจำนวนมาก จึงได้ทำการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวพบว่าเป็นข้อมูลของผู้เสียหายซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายเครือข่าย ROMANCE SCAM หลอกลวงให้โอนเงินไปให้จำนวนหลายราย





จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับว่าตนเองเป็นสมาชิกในเครือข่ายของกลุ่มคนร้ายเครือข่าย ROMANCE SCAM มาประมาณ5-6 เดือน โดยพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเกินเวลาที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ประกอบอาชีพสุจริตแต่อย่างใด โดยผู้ต้องหาทั้งสองทำหน้าที่ประสานงานกับคนร้ายที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาใต้ ซึ่งทำหน้าที่พูดคุยหลอกลวงผ่านทางเฟซบุ๊กปลอม หลอกลวงให้ผู้เสียหายที่ประเทศไทยหลงรัก และหลอกลวงว่าจะส่งเงินหรือสิ่งของมีค่ามาให้ผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงขอข้อมูลชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหาย แล้วส่งข้อมูลผู้เสียหายมาให้กับผู้ต้องหาทั้งสอง เพื่อส่งข้อมูลดังกล่าวต่อไปยังคนร้ายที่พักอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งทำหน้าที่โทรศัพท์หลอกลวงว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าภาษีหรือค่าบริการ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารให้กับคนร้ายกลุ่มนี้ จากนั้นจึงนำเงินที่ได้จากการหลอกลวงมาแบ่งกัน โดย Mr.Felix Mario และ Mr.Gomis Cristiano ผู้ทำหน้าที่ประสานงานรับ-ส่งข้อมูลผู้เสียหายในกลุ่มเครือข่าย ROMANCE SCAM นั้นจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนร้อยละ 3-5 ของจำนวนเงินทั้งหมดที่สามารถหลอกลวงผู้เสียหายได้สำเร็จในแต่ละครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ศปอส.ตร.และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตม.จว.สมุทรปราการ บก.ตม.3 ได้ทำการสืบสวนขยายผลพบผู้เสียหายจำนวนหลายรายที่ถูกคนร้ายกลุ่มนี้หลอกลวงและได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนไว้ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศไทยดังนี้
1. สภ.เมืองจันทบุรี จว.จันทบุรี ความเสียหายจำนวน 1,417,000 บาท
2. สภ.หนองฉาง จว.อุทัยธานี ความเสียหายจำนวน 140,000 บาท
3. สภ.เมืองขอนแก่น จว.ขอนแก่น ความเสียหายจำนวน 85,500 บาท
4. สภ.หนองหิน จว.เลย ความเสียหายจำนวน 85,300 บาท
5. สภ.เมืองกระบี่ จว.กระบี่ ความเสียหายจำนวน 33,500 บาท
6. สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี จว.สุราษฎร์ธานี ความเสียหายจำนวน 33,500 บาท
7. สภ.ท่าตูม จว.สุรินทร์ ความเสียหายจำนวน 35,000 บาท

รวมความเสียหายทั้งหมดจำนวน 1,828,000 บาท ซึ่งการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองในครั้งนี้ถือเป็นการ
ทำลายโครงสร้างและตัวการสำคัญที่มีหน้าที่ประสานงานและรับ-ส่งข้อมูลผู้เสียหายของ



เครือข่าย ROMANCE SCAM
ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ศปอส.ตร.จะได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลจับกุมคนร้ายซึ่งทำหน้าที่อื่น ในเครือข่ายนี้ทั้งหมด และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังสื่อมวลชนและประชาชนทุกคนหากพบว่าตนเองหรือบุคคลที่รู้จักมีพฤติกรรมที่ถูกกลุ่มคนร้ายเครือข่าย ROMANCE SCAM หลอกลวงสามารถแจ้งมาที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.)ได้ทัน

แถลงข่าวจับกุมชาวไต้หวัน ขู่กรรโชกทรัพย์นักธุรกิจชาวไต้หวัน

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2561 ทาง ศปอส.ตร. ได้รับร้องเรียนจาก 2 นักธุรกิจใหญ่ชาวไต้หวัน กรณีมีคนร้ายโทรศัพท์ขู่ฆ่า และส่งคลิปวีดีโออันมีลักษณะภาพลามกอนาจารและได้เผยแพร่ไปยังบุคคลอื่นผ่านช่องทางแอพพลิเคชั่นวีแชทซึ่งใช้ยุสเซอร์ว่า 大陯 (ต้าหลุน)เพื่อรีดเอาทรัพย์หรือกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย จำนวนเงินมากกว่าสิบล้านบาท โดยทางนักธุรกิจชาวไต้หวัน ยังต้องติดต่อธุรกิจภายในประเทศไทยอีกระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส และต่อมาวันที่ 16-17 ตุลาคม 2561 ได้มีการเผยแพร่ข่าวของผู้เสียหายในสื่อไต้หวันหลายสำนัก โดยมีข้อความและภาพคลิป อันมีลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้ครอบครัวได้รับความอับอายและธุรกิจได้รับความเสียหายเป็นอย่างยิ่งและอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย และจากการสืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาถือสัญชาติไต้หวันมีประวัติเป็นหัหน้าแกงคือค้ามนุษย์ ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร และปลอมหนังสือเดินทาง










ต่อมา ศปอส.ตร. ได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและได้ขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 คือ นายไซม่อน เจียง (Mr.SIMONJIANG) อายุ 58 ปี หนังสือเดินทางประเทศ อินโดนีเซีย เลขที่ B 5994225 เป็นหมายจับที่ 2355/2561 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2561 ข้อหา “หมิ่นประมาท กรรโชกทรัพย์”





และในวันเดียวกันได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหา นายไซม่อนฯ และตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โทรศัพท์ ไอโฟน 8 จำนวน 2 เครื่อง ไว้เป็นของกลาง และจากการสืบสวนขยายผลทำให้ทราบว่า ยังมี ผู้ร่วมขบวนการที่อยู่ต่างประเทศ

สตม. จับ ๓ คนจีนหนีคดีกบดานไทย
คดีที่ 4วันนี้ (22 ตุลาคม 2561) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาคภูมิ ภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รรท.รอง ผบช.สตม., ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีคนร้ายต่างชาติรายสำคัญ จำนวน ๓ คดี





จากการที่ สตม. ได้กำชับให้ทุก บก. สืบสวนหาข่าวและกวาดล้างจับกุมคนร้ายต่างชาติที่หลบหนีคดี และอาศัยไทยเป็นพื้นที่หลบซ่อน โดยประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ สอท.สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ผลการปฏิบัติ สามารถติดตามจับกุม ผู้ต้องหาสัญชาติจีน ซึ่งได้กระทำความผิดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและฉ้อโกง มูลค่าความเสียหายรวม ๔.๕ ล้านหยวน (ประมาณ ๒๒.๕ ล้านบาท) โดยได้ใช้อำนาจตามกฎหมายคนเข้าเมือง เพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรในฐานะบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ดังนี้
รายที่ 1 : รวบชาวจีนหนีคดีคาสนามบิน
เมื่อ



วันที่ 1๓ ตุลาคม 2561 บก.สส.สตม. จับกุม นาย ชา เฉิน (MR.ZHA SHEN) อายุ ๔๖ ปี สัญชาติจีน ซึ่งทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับในความผิดฐานก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ มูลค่าความเสียหาย ๒ ล้านหยวน (ประมาณ ๑0 ล้านบาท) โดยทีมสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนและสกัดจับได้ที่ท่าอากาศภูเก็ต ขณะกำลังเตรียมตัวเดินทางหลบหนีออกนอกประเทศไทย
รายที่ 2 จับจีน หนีคดีฉ้อโกงซุกไทย
เมื่อวันที่ 1๙ ตุลาคม 2561 บก.สส.สตม. จับกุม นาย หลิน โป (MR.LIN BO) อายุ ๓๕ ปี สัญชาติจีน ซึ่งทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับในความผิดฐานฉ้อโกงบัตรเครดิต มูลค่าความเสียหาย ๕๐๐,๐๐๐ หยวน (ประมาณ 2.๕ ล้านบาท) โดยทีมสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมตัวได้ที่ ถนนลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ
รายที่ 3 รวบจีนหนีคดีเข้าไทย
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม 2561 บก.สส.สตม. จับกุม นาย หวัง ปิงไห่ (MR.WANGBINHAI) อายุ ๓๗ ปี สัญชาติจีน ซึ่งทางการสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ออกหมายจับในความผิดฐานก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ มูลค่าความเสียหาย ๒ ล้านหยวน (ประมาณ ๑0 ล้านบาท) โดยทีมสืบสวน กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าโรงแรมย่านถนนสุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ
การสืบสวนปราบปรามดังกล่าว ทาง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.รรท.ผบช.สตม. ได้สั่งการให้ทุก บก. ทั่วประเทศดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อไมให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งซุกซ่อนของอาชญากรต่างชาติ ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.





พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า “ขอฝากมายังพี่น้องประชาชน ในการช่วยสอดส่อง ดูแล เป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส ชาวต่างชาติที่มีลักษณะผิดสังเกต รวมถึง ให้ผู้ประกอบการ แจ้งการพักอาศัยของชาวต่างชาติ ตามกฎหมาย ต่อหน่วยงาน ตม. ในพื้นที่รับผิดชอบด้วย หากพบพฤติกรรมชาวต่างชาติที่ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวหรือไม่มีงานทำแน่นอนแจ้ง1178
ขอบคุณพ.ต.ต.หญิงพัชรี ศรีเผือก
สว.ฝอ.5บก.อก.สตม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น