วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ไม่ใช่แค่Moody ที่ปรับระดับประเทศไทย ทั้งIMFและ World Bank เป็นครั้งแรกของไทยอัตราการเติบโตทาง ศก. ต่ำกว่า กัมพูชาและ สปป.ลาว

 ไม่ใช่แค่Moody ที่ปรับระดับประเทศไทย ทั้งIMFและ World Bank  เป็นครั้งแรกของไทยอัตราการเติบโตทาง ศก. ต่ำกว่า กัมพูชาและ สปป.ลาว   



          พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ   กล่าวถึงกรณีนายจิรายุ  ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ออกมาโต้ กรณี

Moody''s ได้ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยลงจาก “Stable” เป็น “Negative” ว่า เป็นเรื่องไม่น่าเป็นห่วงนั้น   ว่า “รัฐบาลคงไม่เข้าใจระบบเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวมของประเทศและของโลกดีพอ  และการที่Moody''s ได้ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยลงประเภท Senior unsecured bond ที่ Baa1 และเปลี่ยนแนวโน้ม (Outlook) เป็น “Negative” จาก “Stable” เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยดูจากระบบเศรษฐกืจในรอบปีที่ผ่านมาและอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้   ส่วนความสามารถในการแก้ไขมาตรการภาษีสหรัฐฯ นั้น เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีผลกระทบอย่างไร   ถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องระบบเศรษฐกิจก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาในภาพรวมได้  ซึ่งเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายค้านที่เป็นห่วง ทั้งนักวิชาการ  นักเศรษฐศาสตร์  ธนาคารแห่งประเทศไทย  ออกมาเตือนรัฐบาลหลายครั้ง”




         พล.ต.ท.ปิยะฯ กล่าวว่า “การเตือนของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ผ่านมา วันนี้ (22 เมษายน 2568) ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (The World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนเมษายนปี 2025 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของไทย (จีดีพี) ปี 2568 จาก 2.9% เหลือ 1.8% โดยมีประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ IMF ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงต่ำกว่าระดับ 2% เมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย  เช่น  อินเดีย 6.2 % ฟิลิปปินส์ 5.5% เวียดนาม 5.2% อินโดนีเซีย 4.7 %มาเลเซีย 4.1 %

จีน 4.0%  ไทย 1.8% จะเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับท้ายๆสุด   ส่วนในปี 2569 จีดีพีอาจลดเหลือเพียง 1.6%  เท่านั้น“

       ”ไม่เพียงแต่ IMF หรือ Moodyเท่านั้น ที่ปรับระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ   เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือโต 1.6% ชะลอลงจากเมื่อเดือนก.พ.68 ที่ได้ประเมินว่าจะเติบโตได้ 2.9% โดยพิจารณาการส่งออกและการลงทุน ซึ่งจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ในระดับสูงด้วย   ขณะเดียวกันเปรียบเทียบอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP)ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก  พบว่า

มองโกเลีย โต 6.3% ,เวียดนาม โต 5.8%,ฟิลิปปินส์ โต 5.3% ,อินโดนีเซีย โต 4.7%,จีน โต 4.0% ,กัมพูชา โต 4.0%,มาเลเซีย โต 3.9% ,สปป.ลาว โต 3.5%  ส่วนประเทศไทย โต1.6เท่านั้น“   พล.ต.ท.ปิยะฯกล่าว

         ” รัฐบาลต้องใช้มืออาชีพ ทางด้านการเงินการธนาคารระดับมหภาคที่มีความรู้ความสามารถมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง  ขนาดธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย  ต่ำกว่าเวียดนาม (โต 5.8%,)ฟิลิปปินส์ (โต 5.3% ) อินโดนีเซีย (โต 4.7%)มาเลเซีย (โต 3.9%)  เป็นครั้งแรกที่ กัมพูชา (โต 4.0%) และสปป.ลาว (โต 3.5% )โตกว่าไทยเยอะ   คำแนะนำหรือคำเตือนขององค์การเศรษฐกิจ  ระหว่างประเทศ เช่น IMF, Moody,World Bank ฯลร นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความสามารถ เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรต้องให้ความสำคัญ  รัฐบาลควรพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจ  พัฒนาอุดสาหกรรมขนาดย่อม  พัฒนาstart up เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก  และส่งเสริมการลงทุนขนาดกลางและขนาดใหญ่เพื่อให้รายได้ประชาชนดีมากขึ้น  

       เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยตกต่ำมาก คนไทยตกงาน  สินค้าเกษตร ราคาตกต่ำ  มะม่วงราคาตกเหลือ กก.ละ 20 บาท  ประชาชนรากหญ้ากำลังจะอดตาย  หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น  เงินกู้นอกระบบเกลื่อนทุกตลาด  ทุกเสาไฟฟ้า  เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ มากกว่า การกู้เงิน 500,000ล้านบาทเพิ่มภาระหนี้ประชาชนให้สูงขึ้น  แล้วเอามาแจกโดยไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ     

ขนาด”คนบางคน“ในรัฐบาล ในเรื่องค่าเงินบาทอ่อน/แข็งที่มีผลต่อเศรษฐกิจประเทศอย่างไรยังไม่เข้าใจ  ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจแท้ๆ  เรื่องยากๆ อย่างระบบเศรษฐกิจโดยรวมจะเข้าใจได้อย่างไร  นี่คือ ปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข  “


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น