วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2567

“ตม.ดักรวบหนุ่มตุรเคียแสบ กระชากโทรศัพท์อดีตแฟนสาวกลางห้างดัง อ้างหึงหวงหลังรักล่ม”

 “ตม.ดักรวบหนุ่มตุรเคียแสบ  กระชากโทรศัพท์อดีตแฟนสาวกลางห้างดัง อ้างหึงหวงหลังรักล่ม”




ภายใต้อำนวยการของ พล.ต.ต.ประสาธน์  เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 , พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ 

ก้องเกียรติศิริ รอง ผบก.ฯ ปรก.รอง ผบก.ตม.1 , พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 

พ.ต.ทสุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1



สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน บก.ตม.1 สืบทราบจากสายลับ ว่าผู้ต้องหาตามหมายจับ ลักษณะตำหนิรูปพรรณคล้ายกลุ่มชาวยูเรเซีย จะมาปรากฏตัวบริเวณห้างสรรพสินค้าไอทีชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน กรุงเทพมหานคร จึงได้สนธิกำลัง หลายนาย กระจายกำลังอยู่โดยรอบ 



จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. พบตัวบุคคลต่างด้าวรายหนึ่ง รูปร่างกำยำ สันทัด มีตำหนิรูปพรรณตามที่สายลับแจ้งข่าว จึงแสดงตัวขอตรวจสอบพร้อมทั้งแสดงหมายจับ


ทราบชื่อ นายอาเมียร์ มุสตาฟาร์ (MR.Amir Mustafa) อายุ 26 ปี สัญชาติตุรกี

บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญากรุงเทพใต้ใน ความผิดฐาน “วิ่งราวทรัพย์ , เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้น มิได้มีไว้สำหรับตน , เข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไส้สำหรับตน และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้” 



ผู้ถูกจับได้ตรวจสอบหมายจับดูจนเป็นที่พอใจแล้ว จากการสอบถามเบื้องต้นผู้ถูกจับให้การรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันบุคคลตามข้อมูลหมายจับดังกล่าวจริงและไม่เคยถูกจับกุมตามความผิดตามหมายจับมาก่อนแต่อย่างใด พฤติการณ์ในการก่อเหตุนั้น ทราบจากแหล่งข่าวว่า การที่ผู้ต้องหาพยายามตามง้อแฟนสาวอยู่เป็นเวลานานแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยความหึงหวง เมื่อสบโอกาสพบแฟนสาว อยู่บริเวณลานลานจอดรถห้างดังแห่งหนึ่งใจกลาง กทม.จึงกระชากโทรศัพท์ของแฟนสาว และหลบหนีไป ในเบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ



เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันแจ้งสิทธิให้ทราบ และแจ้งว่าจะต้องถูกจับกุมตามหมายจับดังกล่าว จากนั้นจึงได้ร่วมกันเชิญตัวมายังที่ทำการ กก.สืบสวน บก.ตม.1 เพื่อจัดทำบันทึกการจับกุมและได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางจากหนังสือเดินทางหมายเลข S21099609 ที่ระบุไว้ในหมายจับพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันจริงโดยเคยใช้เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักรไทยแล้วจำนวน 14 ครั้ง จากนั้นควบคุมตัวนำส่ง พนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีต่อไป 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น