วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2564

ดร.เซปิง ยื่นฟ้องคดีอาญาเอาผิดทนายความที่ออกรายการโหนกระแสลักทรัพย์ในห้องพิจารณาคดีของศาล

 ดร.เซปิง ยื่นฟ้องคดีอาญาเอาผิดทนายความที่ออกรายการโหนกระแสลักทรัพย์ในห้องพิจารณาคดีของศาล




วันที่ 8 มี.ค.64 ดร.เซปิง ไชยศาส์นประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เดินทางมาศาลอาญารัชดาเพื่อยื่นฟ้องคดีอาญาเอาผิดทนายภิญโญภัทร์ ชิดตะวัน ซึ่งเป็นทนายความคู่กรณีที่ ดร.เซปิง ฟ้องหมิ่นประมาท ทั้ง 7 คนรวมถึงพิธีกร หนุ่ม กรรชัยด้วยที่ไปออกรายการโหนกระแสในข้อหา ทำลาย ซ่อนเร้น ทำให้สูญหาย ลักทรัพย์ ในสถานที่ราชการ

ดร.เซปิง กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2563  ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 ในศาลแขวงดอนเมือง ซึ่งเป็นวันเวลานัดสืบพยานโจทก์จำเลย (คดีแพ่ง ผบ.๑๖๒๒/๒๕๖๓) โดยมีฝ่าย ดร.เซปิง เป็นโจทก์ คู่ความทุกฝ่าย และทนายภิญโญภัทร์ ซึ่งเป็นทนายความของจำเลยในคดีดังกล่าว ระหว่างสืบพยาน ดร.เซปิง อ้างส่งเอกสารประกอบการสืบพยานจำนวน ๒๑ ฉบับ และส่งแฟลชไดร์ฟบันทึกคลิปจำนวน ๑ อัน ครั้น ดร.เซปิง จะเบิกความอธิบายถึงเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ประกอบในการเบิกความพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดีปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวได้หายไป จึงสอบถามทนายภิญโญภัทร์และจำเลยในคดีดังกล่าวแล้ว ทนายภิญโญภัทร์ แถลงยืนยันว่าไม่ได้เอาเอกสารดังกล่าวไปแต่อย่างใดศาลให้ตรวจสอบหาเอกสารอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่พบ 



ดร.เซปิง กล่าวต่อว่าในระหว่างที่สืบพยานตนยังติดใจเกี่ยวกับเอกสารที่หายไป จึงแถลงต่อศาลว่ามีคดีที่ต้องว่าความกับทนายภิญโญภัทร์ หลายคดี และก่อนหน้านี้ในคดีอื่นๆ เอกสารมักหายไป ศาลจึงมีคำสั่งให้ตรวจค้นกระเป๋าถือ กระเป๋าเอกสารและสัมภาระต่าง ๆ ของจำเลย และกระเป๋าของทนายภิญโญภัทร์ ผลการตรวจค้นปรากฏว่าพบเอกสารที่หายไปถูกเก็บซุกซ่อนอยู่ในซองใส่คอมพิวเตอร์ของทนายภิญโญภัทร์ โดยมีการรูดซิบปิดกระเป๋าใช้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คทับเอกสารแอบไว้  ศาลสอบถามแล้ว ทนายภิญโญภัทร์ รับสารภาพว่าได้เอาเอกสารของ ดร.เซปิง ไปจริง ทั้งที่ทนายภิญโญภัทร์ รู้ว่าระหว่างสืบพยาน ดร.เซปิง และศาลได้สอบถามหาอยู่แล้ว ในกระบวนพิจารณา ศาลก็ได้บันทึกพฤติกรรมและคำสารภาพไว้ พฤติการณ์การกระทำของทนายภิญโญภัทร์ เป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารโดยมีเจตนาทุจริตทำให้สูญหาย ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์หรือเอกสารใดที่ส่งไว้ต่อศาล หรือศาลรักษาไว้ในการพิจารณาคดี ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จครบองค์ประกอบความผิด ฐานทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำความเสียหาย ซึ่งการเอาเอกสารดังกล่าวไปเป็นของตนโดยทุจริต ได้กระทำในห้องพิจารณาคดีของศาล อันเป็นสถานที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๘๕ มาตรา ๑๘๘ และฐานลักทรัพย์ในสถานที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๘) 




ดร.เซปิง กล่าวต่ออีกว่า ทนายภิญโญภัทร์ เป็นทนายความมีหน้าที่ในการดำเนินคดีในศาลเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมแก่คู่ความ แต่กล้ากระทำความผิดเสียเองในห้องพิจารณาในขณะที่ศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ ถือว่าทนายภิญโญภัทร์ไม่เคารพยำเกรงต่อศาลและกฎหมายแม้แต่น้อย ครั้นศาลสอบถามหาเกี่ยวกับเอกสารที่หายไป ทนายภิญโญภัทร์ยังกล้ากล่าวเท็จยืนยันว่าตนไม่ได้เอาเอกสารดังกล่าวไปแต่อย่างใด ขณะตรวจค้นกระเป๋า ทนายภิญโญภัทร์ พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ยอมให้เปิดดูกระเป๋าง่ายๆ เมื่อตรวจค้นกระเป๋าและสัมภาระของตน ปรากฏว่าพบเอกสารที่หายไป ซึ่งเป็นการจับได้คาหนังคาเขา อันเป็นการจำนนต่อหลักฐาน ทนายภิญโญภัทร์ จึงจำยอมรับสารภาพโดยดี เพราะตรวจค้นต่อหน้าศาลแล้วรับสารภาพ ซึ่งมิใช่เป็นการรับสารภาพด้วยความสมัครใจแต่แรก นับแต่เกิดเหตุ พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในห้องพิจารณาอันเป็นการสบประมาทต่อศาล เย่อหยิ่งลำพองใจ ไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้แต่น้อย คิดว่าตนสามารถตบตาศาลได้ ในวันดังกล่าวหากศาลไม่สั่งให้มีการตรวจค้นกระเป๋าของทนายภิญโญภัทร์ ก็คงไม่พบเอกสารที่ถูกลักขโมยไปและคงลำพองใจว่า แม้ศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ตนก็ยังสามารถลักเอาเอกสารอันเป็นพยานหลักฐานสำคัญแห่งคดีได้ พฤติการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นการนำความเสื่อมเสียและเป็นการทำลายต่อองค์กรกระบวนการยุติธรรมที่ทุกฝ่ายมีความมั่นใจและไว้วางใจว่าจะได้รับการคุ้มครองความยุติธรรมในศาล นอกจากนั้นทนายภิญโญภัทร์ยังมีเจตนามุ่งหมายให้ลูกความของตนชนะคดี และกระทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ฝ่าย ดร.เซปิง แพ้คดี 

ดร.เซปิง กล่าวต่ออีกว่าเรื่องนี้ทำให้ตนได้รับความเสียหายอย่างยิ่ง และถือว่าองค์กรศาลได้รับความเสียหายด้วย เนื่องจากทนายภิญโญภัทร์ บังอาจกระทำความผิดอาญาในห้องพิจารณาในขณะศาลกำลังพิจารณาคดีอยู่ ทนายภิญโญภัทร์ เป็นทนายความต้องใช้กฎหมายและดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา การกระทำของทนายภิญโญภัทร์ ยังเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ ๒๕๒๙ ตามมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.๒๕๒๘ ฐานไม่เคารพยำเกรงต่อศาล ใช้กลอุบายลวงให้ศาลหลง ปกปิดซ่อนงำอำพรางพยานหลักฐานใด ๆ ประพฤติตนฝ่าฝืนศีลธรรมหรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ และไม่เคร่งครัดเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งข้อบังคับหรือข้อกำหนดของ สภาทนายความ ตามข้อบังคับที่ ๖,๗,๘,๑๘,และ ๒๑  

หลังจากนี้จะไปร้องเรียนต่อสภาทนายความเพื่อให้สอบสวนพฤติการณ์การกระทำของทนายเป็นคดีมรรยาททนายความ และร้องขอให้ถอดถอนใบอนุญาตทนายความอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้ทนายความที่ดีพลอยเสื่อมเสียไปด้วย และมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในทางที่ไม่ดีแก่ทนายความรุ่นหลังด้วย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น