วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564

ศาลพิพากษายกฟ้องดร.เซปิงอีก1คดีถูกกล่าวหาหลอกลวงทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉม วันที่ 26 ม.ค.64 ดร.เซปิง ไชยศาส์น ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เปิดเผยว่า จากกรณีที่นางฐานิต ไนการ์ด อายุ 57 ปี ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งกล่าวหาใส่ความว่า “ถูกหลอกลวง”ทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉมและได้เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.เซปิง กับพวก 4 คน โดย ดร.เซปิง เป็นจำเลยที่ 1 เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ จำนวน 3,268,500 บาท ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63 ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วสรุปตามคำพิพากษาศาลแพ่งโดยย่อ รายละเอียดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3672/2562 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงมีรายละเอียดบางส่วนว่า ดร.เซปิง ไม่เคยโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความอันเป็นเท็จ รอยแผลของนางฐานิต ที่เกิดจากการเปิดผิวหนังเพื่อทำการดึงหน้าตั้งแต่ขมับถึงติ่งหูเป็นรอยแผลที่มีลักษณะเรียบ สวย และเนียน จึงถือไม่ได้ว่านางฐานิต ได้รับความเสียหาย ก่อนผ่าตัดคิ้วด้านขวาของนางฐานิต ต่ำกว่าคิ้วด้านซ้ายอย่างชัดเจน หลังผ่าตัดคิ้วทั้งสองข้างของนางฐานิต อยู่ในระดับเดียวกัน ถือว่าสภาพใบหน้าของนางฐานิต บริเวณหน้าผากและคิ้วทั้งสองข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า นางฐานิต มิได้รับความเสียหายในส่วนนี้ ส่วนนางฐานิต เบิกความว่าปัจจุบันยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ และคันบริเวณขมับทั้งสองข้างนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวมาแสดงต่อศาล นายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่านางฐานิต มาพบตนเพื่อรักษาอาการเจ็บและคัน และตามรายงานการตรวจชันสูตร ของโรงพยาบาลตำรวจ ก็มิได้ระบุถึงอาการเจ็บและคันตามที่นางฐานิตเบิกความ นายแพทย์เทพ พยานนางฐานิต เบิกความว่าหลังผ่าตัดจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต หายไปเนื่องจากมีการดึงหนังหน้าตึงเกินไปนั้น เมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายของนางฐานิต ก่อนและหลังผ่าตัด แล้ว ปรากฏว่าบริเวณจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต มิได้หายไปและไม่ปรากฏว่ามีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการผ่าตัดแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่านางฐานิต ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ใบหน้าของนางฐานิต หลังการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกมุมและทุกอากัปกิริยา ถือว่าผลการผ่าตัดเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และบรรลุวัตถุประสงค์ของการดึงหน้าสามส่วนและดึงคอตามหลักวิชาศัลยศาสตร์ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ผลดีเป็นที่พอใจ พยานหลักฐานที่ ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่า พยานหลักฐานของนางฐานิต ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อนางฐานิต เมื่อศาลรับฟัง ข้อเท็จจริงดังนี้แล้ว ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่ นางฐานิต พิพากษายกฟ้อง ดร.เซปิง กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะขอนำเสนอคลิปความจริงให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาก่อนทำศัลยกรรม และข้อมูลความจริงให้สังคมและประชาชนเข้าใจพร้อมกันต่อไปในส่วนที่ตนถูกทำลายชื่อเสียง จนทำให้สังคมเข้าใจผิดและสังคมตัดสินไปตามที่ถูกกล่าวหา และส่งผลให้บุคคลที่จะเข้ามาขอรับคำปรึกษาจาก ดร.เซปิง เกิดความลังเลใจไม่เชื่อมั่น ทำให้ไม่ได้รับโอกาสในการดูแลด้านความงาม เรื่องราวที่ถูกกล่าวหาเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ไม่ยุติธรรม มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนี้ ดร.เซปิง ก็จะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อขอคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเอง และดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับบุคคลที่หมิ่นประมาทและเบิกความเท็จ รวมถึงแพทย์บางคนที่ให้ความเห็นต่อศาลอันผิดต่อหลักวิชาการทางการแพทย์ ต่อไป

 ศาลพิพากษายกฟ้องดร.เซปิงอีก1คดีถูกกล่าวหาหลอกลวงทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉม



วันที่ 26 ม.ค.64 ดร.เซปิง ไชยศาส์น ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เปิดเผยว่า จากกรณีที่นางฐานิต ไนการ์ด อายุ 57 ปี ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งกล่าวหาใส่ความว่า “ถูกหลอกลวง”ทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉมและได้เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.เซปิง กับพวก 4 คน โดย ดร.เซปิง เป็นจำเลยที่ 1 เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ จำนวน 3,268,500 บาท ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2559

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63 ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วสรุปตามคำพิพากษาศาลแพ่งโดยย่อ รายละเอียดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3672/2562 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงมีรายละเอียดบางส่วนว่า ดร.เซปิง ไม่เคยโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความอันเป็นเท็จ รอยแผลของนางฐานิต ที่เกิดจากการเปิดผิวหนังเพื่อทำการดึงหน้าตั้งแต่ขมับถึงติ่งหูเป็นรอยแผลที่มีลักษณะเรียบ สวย และเนียน จึงถือไม่ได้ว่านางฐานิต ได้รับความเสียหาย ก่อนผ่าตัดคิ้วด้านขวาของนางฐานิต ต่ำกว่าคิ้วด้านซ้ายอย่างชัดเจน หลังผ่าตัดคิ้วทั้งสองข้างของนางฐานิต อยู่ในระดับเดียวกัน ถือว่าสภาพใบหน้าของนางฐานิต บริเวณหน้าผากและคิ้วทั้งสองข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า นางฐานิต มิได้รับความเสียหายในส่วนนี้

ส่วนนางฐานิต เบิกความว่าปัจจุบันยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ และคันบริเวณขมับทั้งสองข้างนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวมาแสดงต่อศาล นายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่านางฐานิต มาพบตนเพื่อรักษาอาการเจ็บและคัน และตามรายงานการตรวจชันสูตร ของโรงพยาบาลตำรวจ ก็มิได้ระบุถึงอาการเจ็บและคันตามที่นางฐานิตเบิกความ นายแพทย์เทพ พยานนางฐานิต เบิกความว่าหลังผ่าตัดจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต หายไปเนื่องจากมีการดึงหนังหน้าตึงเกินไปนั้น เมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายของนางฐานิต ก่อนและหลังผ่าตัด แล้ว ปรากฏว่าบริเวณจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต มิได้หายไปและไม่ปรากฏว่ามีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการผ่าตัดแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่านางฐานิต ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน



ใบหน้าของนางฐานิต หลังการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกมุมและทุกอากัปกิริยา ถือว่าผลการผ่าตัดเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และบรรลุวัตถุประสงค์ของการดึงหน้าสามส่วนและดึงคอตามหลักวิชาศัลยศาสตร์ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ผลดีเป็นที่พอใจ พยานหลักฐานที่ ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่า พยานหลักฐานของนางฐานิต ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อนางฐานิต เมื่อศาลรับฟัง ข้อเท็จจริงดังนี้แล้ว ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่ นางฐานิต พิพากษายกฟ้อง



ดร.เซปิง กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะขอนำเสนอคลิปความจริงให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาก่อนทำศัลยกรรม และข้อมูลความจริงให้สังคมและประชาชนเข้าใจพร้อมกันต่อไปในส่วนที่ตนถูกทำลายชื่อเสียง จนทำให้สังคมเข้าใจผิดและสังคมตัดสินไปตามที่ถูกกล่าวหา และส่งผลให้บุคคลที่จะเข้ามาขอรับคำปรึกษาจาก ดร.เซปิง เกิดความลังเลใจไม่เชื่อมั่น ทำให้ไม่ได้รับโอกาสในการดูแลด้านความงาม เรื่องราวที่ถูกกล่าวหาเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ไม่ยุติธรรม มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนี้ ดร.เซปิง ก็จะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อขอคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเอง และดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับบุคคลที่หมิ่นประมาทและเบิกความเท็จ รวมถึงแพทย์บางคนที่ให้ความเห็นต่อศาลอันผิดต่อหลักวิชาการทางการแพทย์ ต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น