วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
งานที่จดทะเบียนไว้ ภายใน ๓ วันนับแต่วันที่ทราบ หากพบสุนัขที่หายแล้ว ต้องแจ้งภายใน ๓ วัน (ข้อ ๑๔)
ข้อบัญญัติได้กำหนดวิธีการที่เจ้าของสุนัขต้องปฏิบัติในการเลี้ยงสุนัข เป็นการควบคุมการเลี้ยงสุนัข ตั้งแต่สถานที่เลี้ยง การควบคุมมิให้สุนัขออกนอกสถานที่เลี้ยงโดยปราศจากการควบคุม ต้องควบคุมมิให้สุนัขก่อเหตุ เดือดร้อนรำคาญ ความเป็นอยู่ของสุนัขเรื่องอาหาร ความสะอาด การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในสุนัข เพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสุนัขมาสู่คน แยกกักสุนัขที่สงสัยว่าเป็นโรค อันอาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพของประชาชนพร้อมทั้งแจ้งหน่วยงานราชการ ห้ามเลี้ยงในที่หรือทางสาธารณะ หรือในที่ของบุคคลอื่น การกำจัดสิ่งปฏิกูลของสุนัขในที่หรือทางสาธารณะ หรือในที่อื่นใดในเขตกรุงเทพมหานครโดยทันที (ข้อ ๑๖ ข้อ ๑๗ ข้อ ๑๘) ถ้าไม่ประสงค์จะเลี้ยงสุนัขอีกต่อไป ต้องมอบสุนัขพร้อมบัตรประจำตัวสุนัขแก่บุคคลอื่น โดยเจ้าของใหม่ต้องแจ้งหน่วยงานที่จดทะเบียนไว้ ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันรับมอบสุนัข หากไม่สามารถหาเจ้าของใหม่ได้ ต้องมอบสุนัขให้กรุงเทพมหานครดูแล โดยเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูตามที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกำหนด (ข้อ ๑๙)
นอกจากนี้ มีข้อกำหนดการนำสุนัขออกนอกสถานที่เลี้ยง ซึ่งต้องพกบัตรประจำตัวสุนัข และผูกสายลากจูง และสุนัขควบคุมพิเศษต้องใส่อุปกรณ์ครอบปาก และจับสายลากจูงห่างจากตัวสุนัขไม่เกินห้าสิบเซนติเมตร รวมถึงห้ามบุคคลอายุต่ำกว่าสิบห้าปี หรือเกินกว่าหกสิบห้าปี นำสุนัขควบคุมพิเศษออกนอกสถานที่เลี้ยง เว้นแต่อยู่ในกรง ที่ขัง หรือเครื่องควบคุมอื่น ที่มั่นคงแข็งแรงเพียงพอที่จะป้องกันสุนัขมิให้เข้าถึงบุคคลภายนอก (ข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑) ข้อบัญญัตินี้ ได้กำหนดว่า ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำ เป็นเจ้าของสุนัขด้วย ทั้งนี้ คงเห็นว่า ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำ เป็นผู้ที่มีจิตเมตตาสงสารสุนัขจรจัด แต่ไม่ต้องการรับผิดชอบเกี่ยวกับสุนัขจรจัด และทำให้สุนัขจรจัดมีชีวิตอยู่ได้ ข้อบัญญัตินี้จึงกำหนดให้ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำ ต้องรับภาระในการควบคุมสุนัขจรจัดด้วย แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนบทบัญญัติในส่วนนี้แล้ว ทำให้ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำไม่ต้องมีหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าของสุนัข ซึ่งผมขออนุญาตนำเสนอในตอนต่อไปครับ
สุนัขจรจัด รุมกัดเด็ก ๗ ขวบ ตอนที่ ๓
ตอนที่แล้ว ผมพูดถึงข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ และทิ้งท้ายว่า บทนิยามคำว่า "เจ้าของสุนัข"หมายความรวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย แต่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนบทนิยามคำนี้ออกไปแล้ว ผมขออนุญาตนำเสนอเรื่องที่มีการฟ้องคดีกันมาเล่าสู่กันฟัง
หลังจากมีการประกาศใช้ข้อบัญญัติดังกล่าว ปรากฏว่า นาย ถ. กับพวกรวม ๕ คน ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนข้อ ๕ บทนิยาม คำว่า"เจ้าของสุนัข (ที่ให้รวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย)" "ที่หรือทางสาธารณะ" "ใบรับรอง"และ "การจดทะเบียนสุนัข" รวมถึง ข้อ ๙ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ ข้อ ๑๗ และข้อ ๒๖ ของ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ ที่กำหนดหน้าที่ของเจ้าของสุนัขไว้ด้วย เรียกว่าต้องการล้มข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับนี้เลย
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยสรุปว่า การออกข้อบัญญัตินี้เพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในท้องถิ่นหรือเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสุนัข อันเป็นมาตรการในการกำกับดูแล และป้องกันเกี่ยวกับการอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อให้เจ้าของสุนัขเลี้ยงสุนัขด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชนโดยส่วนรวมด้วย อันเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะตาม อำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง และการกำหนดภาระหน้าที่และระยะเวลาที่เจ้าของสุนัขต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติและระเบียบที่พิพาทเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่วิญญูชนสามารถปฏิบัติได้ กรณียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดในชั้นนี้ว่าข้อบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดภาระแก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสี่เกินสมควรในฐานะเจ้าของสุนัข และไม่พบว่ากฎดังกล่าวมีข้อบกพร่องแต่อย่างใดอันจะทำให้เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ชอบด้วยกฎหมาย สำหรับผู้ฟ้องคดีที่ ๓ มิใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากกฎที่นำมาฟ้องคดี จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาล จึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ายื่นอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ. ๗๖๔/๒๕๕๖ ว่า การออกข้อบัญญัติดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและเป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้ว ปัญหาที่เกิดจากจำนวนสุนัขจรจัดเพิ่มขึ้นในเขตท้องที่ปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมานาน โดยมีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะแก้ปัญหาในรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำหมันสุนัขจรจัด การจัดสถานเลี้ยงสุนัขจรจัด เป็นต้น แต่แก้ไขได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากมีปัญหาที่เกิดจากเจ้าของสุนัขนำสุนัขมาปล่อยในที่สาธารณะ การตราข้อบัญญัติโดยเฉพาะข้อ ๕ นิยามคำว่า "ที่หรือทางสาธารณะ" "ใบรับรอง" "การจดทะเบียนสุนัข" และข้อ ๙ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๓ ข้อ ๑๔ และข้อ ๑๗ จึงเป็นมาตรการในการควบคุมการเลี้ยงสุนัขเพื่อประโยชน์ในการรักษาสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพของประชาชนในกรุงเทพมหานคร และเพื่อป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคที่เกิดจากสุนัขโดยการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัขเพื่อให้สามารถระบุตัวสุนัขได้ ซึ่งจะทำให้ทราบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของสุนัข เพื่อรับผิดชอบในกรณีที่พบว่ามีการปล่อยสุนัขเป็นสุนัขจรจัด หรือกรณีที่สุนัขไปทำร้ายหรือสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลอื่นหรือสังคม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขพฤติกรรมของเจ้าของสุนัขหรือผู้เลี้ยงสุนัขให้มีความรับผิดชอบต่อสุนัขที่ตนเลี้ยงและสังคม และเป็นการแก้ไขปัญหาการเพิ่มจำนวนของสุนัขจรจัดที่ต้นเหตุเป็นสำคัญ แม้ข้อบัญญัติดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเสรีภาพในการเลี้ยงสุนัขของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าก็ตาม แต่เมื่อชั่งน้ำหนักผลกระทบและความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าได้รับกับผลประโยชน์ของสาธารณะที่ต้องสูญเสียแล้ว ความเสียหายของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าที่ได้รับเบาบางกว่าความเสียหายของประโยชน์สาธารณะ ประกอบกับยังไม่อาจแสวงหามาตรการอื่นใดที่จะสามารถดำเนินการให้บรรลุผลในการแก้ไขปัญหาสุนัขจรจัดได้เท่ากับมาตรการที่กำหนดในข้อบัญญัติดังกล่าว ข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นมาตรการที่จำเป็นแก่การดำเนินการเพื่อควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัขแล้ว นอกจากนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้จัดให้มีบริการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัขโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าของสุนัขไปดำเนินการที่สถานพยาบาลสัตว์เอกชน มีค่าใช้จ่าย ๓๐๐ ถึง ๕๐๐ บาท ซึ่งไม่ได้มากเกินไปกว่าที่ผู้เลี้ยงสุนัขต้องรับผิดชอบ การที่ข้อบัญญัติมีผลใช้บังคับเฉพาะ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
กรุงเทพมหาน
คร พ.ศ. ๒๕๒๘ และไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาคแต่อย่างใด ดังนั้น การออกข้อบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นการใช้อำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มิได้มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น หรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรแต่อย่างใด
ส่วนบทนิยาม คำว่า"เจ้าของสุนัข" ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า เป็นการให้คำนิยามความหมายที่มีผลทำให้ประชาชนที่เพียงแต่ให้อาหารแก่สุนัขจรจัดเป็นประจำด้วยความเมตตาต้องมีภาระ หน้าที่ในการพาสุนัขจรจัดไปฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัข มิเช่นนั้นอาจทำให้บุคคลนั้นกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ในการจัดการ ควบคุม ดูแลสุนัขจรจัด เป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แต่กลับผลักภาระดังกล่าวมาให้กับประชาชน การให้บทนิยามดังกล่าว จึงเป็นข้อบัญญัติที่สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควรและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้เพิกถอนข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสุนัข พ.ศ. ๒๕๔๘ ในข้อ ๕ บทนิยามของคำว่า "เจ้าของสุนัข" ที่ให้หมายความรวมถึงผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย ตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖)
บทนิยามคำว่า "เจ้าของสุนัข" ในข้อบัญญัติดังกล่าว จึงไม่มีอยู่ในข้อบัญญัติดังกล่าวแล้ว
ถ้าสุนัขมีเจ้าของ รุมกัดเด็ก จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ผมเขียนไว้ในตอนที่ ๑ แล้ว เจ้าของสุนัขอาจต้องรับโทษอาญา ฐานปล่อยปละละเลยสุนัขดุเที่ยวไปโดยลำพัง ในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๗๗ และต้องรับผิดทางแพ่งชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๓
ถ้าเป็นสุนัขจรจัด ไม่มีเจ้าของ หรือสืบค้นไม่ได้ว่า ใครเป็นเจ้าของ ......... ใครต้องรับผิดชอบ ....? ผมเขียนไว้ในตอนที่ ๑ ว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์มีหน้าที่ดำเนินการจัดสวัสดิภาพให้แก่สัตว์ตามความเหมาะสม หากไม่ปฏิบัติหน้าที่ อาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎอาญา และ........ เจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายสาธารณสุข และข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ตราขึ้นเพื่อควบคุมการ เลี้ยงสุนัขและการปล่อยสุนัข มีหน้าที่ต้องปฏิบัติในการควบคุม ดูแล สุนัขจรจัด หากไม่ปฏิบัติหน้าที่อาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าตามมาตรา ๑๕๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญา เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๑/๒๕๕๙ ระหว่าง นาง ท. ผู้ฟ้องคดี องค์การบริหารส่วนตำบลช่องสาริกา ผู้ถูกฟ้องคดี ที่วินิจฉัยว่า การไม่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมดูแลสุนัขจรจัด เป็นการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดด้วย
ข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๕๑/๒๕๕๙ คือ ผู้ฟ้องคดีมีอาชีพเลี้ยงนกกระจอกเทศมาเป็นเวลา ๑๐ ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีสุนัขจรจัดซึ่งอาศัยอยู่บริเวณบ่อขยะของผู้ถูกฟ้องคดี มาไล่กัดนกกระจอกเทศของผู้ฟ้องคดีเป็นประจำ จนทำให้นกกระจอกเทศตายเหลือน้อยลง และการรบกวนดังกล่าว ทำให้นกกระจอกเทศมีไข่น้อยลง จึงเรียกค่าเสียหายจากการขาดผลผลิตไข่ ๑๕๐,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายจากนกกระจอกเทศตาย ๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหาย ๑๗๕,๐๐๐ บาท
ศาลปกครองชั้นต้นได้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากปศุสัตว์อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และปศุสัตว์จังหวัดลพบุรีแล้ว มีคำพิพากษาว่า การควบคุมและจำกัดจำนวนสุนัขจรจัดเป็น อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.๒๕๓๕ ประกอบพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๔๙๙ (กฎหมายที่ใช้ในขณะพิจารณาคดีนี้) เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการควบคุมสุนัขจรจัดมิให้เป็นอันตรายต่อทรัพย์สินของประชาชนและมิให้รบกวนการประกอบอาชีพของประชาชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบรวมทั้งผู้ฟ้องคดีด้วย ปศุสัตว์อำเภอพัฒนานิคม และปศุสัตว์จังหวัดลพบุรี ยืนยันว่า ถ้านกกระจอกเทศตกใจหรือถูกรังแกทำร้ายจากสัตว์ชนิดใด นกกระจอกเทศจะจดจำ หากมีสุนัขจรจัดเข้ามาใกล้ อาจทำให้นกกระจอกเทศเกิดความเครียดและตื่นตกใจ ปกตินกกระจอกเทศแม่พันธุ์หนึ่งตัวจะออกไข่ปีละ ๔๐ ฟอง ถึง ๘๐ ฟอง หรือ ๑๐๐ ฟอง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การละเลยไม่ดำเนินการกับสุนัขจรจัดของผู้ถูกฟ้องคดี ทำให้ปริมาณไข่นกกระจอกเทศลดน้อยละจากปีละ ๑,๕๐๐ ฟอง คงเหลือประมาณ ๖๐๓ ฟอง ส่วนกรณีนกกระจอกเทศตายเป็นผลจากการที่ผู้ฟ้องคดีไม่คอยสังเกตการกินเม็ดกรวดทรายของนกกระจอกเทศมากเกินไป จนทำให้ไปอุดตันในระบบทางเดินอาหาร กรณีเป็นผลมาจากการขาดความระมัดระวังของผู้ฟ้องคดีเอง จึงให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการขาดร้ายได้จากไข่นกกระจอกเทศเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท
ผู้ถูกฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า คดีนี้มี ๒ ข้อหา
ข้อหาที่ ๑ ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น