วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พิทักษ์ 1 สั่งเด็ดปีก “หนูวัดไผ่เงิน” หัวจ่ายดีกรีน้องชายหัวหน้าชุมชน หนีคดี 10 ปี จนมุมยุทธวิธีหนูท่อ

    พิทักษ์ 1 สั่งเด็ดปีก “หนูวัดไผ่เงิน” หัวจ่ายดีกรีน้องชายหัวหน้าชุมชน หนีคดี 10 ปี จนมุมยุทธวิธีหนูท่อ 



          พิทักษ์ 1   พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.เปิด ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติด  สั่งให้ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. สืบนครบาลนำทีมบุกชุมชนวัดไผ่เงิน รวบ หนูวัดไผ่เงิน ระดับหัวจ่ายน้องชายผู้นำชุมชน หลังหลบหนีหมายจับมากว่า 10 ปี ด้วยยุทธวิธี “หนูท่อ” ทำเอาเจ้าหน้าที่คว้าน้ำเหลวไปกว่าหลายครั้ง จนต้องงัดยุทธวิธีย่องเงียบ เช้าตรู่ปีนป่ายล้อมคนร้ายทุกทิศทาง จนถึงกับมีผู้กองนักสืบสาวตกหน้าต่างกระดูกแตกเลยทีเดียว



         เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 พล.ต.ท.สยาม บุญสม รรท.ผบช.น. ,  พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์สระทองออย รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. , ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว.กก.2 บก.สส.ภ.2 , ส.ต.ต.เมธิชัย คำดี ผบ.หมู่ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ร่วมกันสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมตัว



          นายกันต์ ท้วมขวัญยืน หรือ หนูวัดไผ่เงิน อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 210 ซ.จันทน์ 43 แยก 22-3 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.299/2557 ลงวันที่ 19 พ.ค. 57 

         ข้อหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”

        จับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 210 ชุมชนวัดไผ่เงินซ.จันทน์ 43 แยก 22-3 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพฯ



  พฤติการณ์กล่าวคือ “10 ปีแห่งการหลบหนี” ของหนูวัดไผ่เงิน ระดับหัวจ่ายยาเสพติดในชุมชน ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้ามาตรวจค้นในบ้านของหนูไผ่เงินแต่เจ้าตัวไหวตัวทัน ปีนหน้าต่างมุดหนีออกไปได้อย่างฉิวเฉียด แต่ได้ทิ้งของกลางยาเสพติดจำนวนมากและบัตรประจำตัวประชาชนไว้ในห้องพัก ซึ่งต่อมาก็ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับในเวลาต่อมา แต่ทว่าหนูได้หายเข้ากลีบเมฆไปเป็นเวลากว่า 9 ปี กระทั่งล่าสุดช่วงปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเบาะแสว่า หนูได้กลับมากบดาลอยู่ในชุมชนวัดไผ่เงิน จึงได้มีการนำกำลังเข้าไปไล่ล่าจับกุมกว่าหลายครั้ง แต่ก็คลาดกันอย่างฉิวเฉียดอยู่ตลอดเหมือน “แมวไล่จับหนู” เพราะคนร้ายมีดีกรีเป็นถึงน้องชายผู้นำชุมชนในชุมชนมีพวกคอยสอดส่องดูเจ้าหน้าที่ให้หนูวัดไผ่เงินอยู่ตลอด ทันทีที่เจ้าหน้าที่เริ่มเข้าชุมชนคนร้ายก็จะไหวตัวและปีนออกทางหน้าต่าง แล้วใช้ความชำนาญในพื้นที่ลัดเลาะไปหลบในบ้านของพรรคพวกในชุมชน เรียกได้ว่าสมรภูมิของคนร้ายได้สุดจะได้เปรียบ กระทั่งวันนี้ (29 พ.ย. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ ระดมกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่ทั่วประเทศ โดยรุ่งสางเวลาประมาณ 06.30 น. พล.ต.ท.สยาม บุญสม รรท.ผบช.น. ,  พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.น. ให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลังชุดสืบนครบาลวางแผนเด็ดปีกเอเย่นตัวแสบรายนี้ให้ได้ โดยนำกำลังกว่า 20 นาย นำหมายค้นศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ ค.227/2567 ลงวันที่ 28 พ.ย. 67 บุกเข้าไปปิดล้อมในชุมชนวัดไผ่เงิน โดยคราวนี้ชุดปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีแบบ “ย่องเงียบ” ปีกป่ายมาจากทุกทิศทาง แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ระหว่างที่ ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์ เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ.บก.สส.บช.น. กำลังปีนหน้าต่างตามสารวัตรแจ๊ะ เพื่อดักหลังทางหนีคนร้าย ก็เกิดสะดุดตกหน้าต่างจนทำให้กระดูกข้อเท้าซ้ายแตก แต่ภารกิจไม่อาจล้มเลิก บุกทยานต่อจนสามารถจับกุมคนร้ายได้คาเตียงนอน



ในชั้นจับกุม นายกันต์ หรือ หนูวัดไผ่เงินให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาที่บ้านของตน ซึ่งมียาเสพติดอยู่ในบ้านจำนวนมาก ตนจึงมุดกระโดดออกทางด้านหลังและหลบหนีไป โดยในห้องพักนั้นตนได้ทิ้งบัตรประชาชนเอาไว้ จึงทำให้ตำรวจออกหมายจับตน โดยที่ตนเองเลือกที่จะหนีสุดชีวิตเพราะยาเสพติดในห้องของตนนั้นมีจำนวนมาก โดยตลอด 10 ปี แห่งการหนีนั้นลำบากเสียยิ่งกว่าติดคุก โดยช่วงแรกของการหลบหนี ตนได้หลบหนีไปอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี โดยไปพึ่งใบบุญคนรู้จัก ซึ่งเป็นเจ้าของสวน โดยไปอยู่เหมือนเป็นลูกจ้างรายวันทำสวนทำไร่ แต่เมื่อทำไปได้ 2-3 ปี เริ่มรู้สึกทรมานเพราะตนเองได้ถูกต่อว่าตลอดว่าเป็นคนขี้เกียจ จึงตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่ที่ กทม. แต่ทางบ้านก็แจ้งให้ยังไม่ต้องมาเพราะยังมีตำรวจตามจับอยู่ จึงกล้ำกลืนฝืนทนมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 9 ของการหลบหนี ตนเองทนไม่ไหวจึงกระทั่งได้นำ น้ำเฮลบลูบอย , ยาพารา และสารอื่นๆผสมกับน้ำยาไปฉีดพืชพรรณในไร่จนพืชตายทั้ง 100 ไร่ จนเจ้าของไร่ถึงกับเจ๊ง แล้วตนก็หนีกลับมาที่กรุงเทพ โดยในระยะเวลา 1 ปี ก่อนจับกุม ตนเองก็หลบๆซ่อนๆอยู่ในชุมชนวัดไผ่เงิน และคอยให้พรรคพวกและญาติๆคอยสังเกตการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจเวลาเข้ามาในชุมชน หากมีเจ้าหน้าที่มาก็จะมีคนแจ้งแล้วตนเองก็จะมุดหลบหนีซอกแซกเข้าไปในชุมชน ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวตนเองได้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ ยอมรับว่าชีวิตที่ผ่านมาลำบากอยู่ในคุกยังสบายกว่า ยังเสียดายว่าถ้าตนเองยอมมอบตัวตั้งแต่แรกป่านนี้คงพ้นโทษและได้ออกมาใช้ชีวิตไปนานแล้ว ตอนนี้หนีมาแล้ว 10 ปี ต้องหนีอีก 10 ปี จึงจะหมดอายุความ กลับตัวก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไปไม่ถึง”



พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “คนร้ายรายนี้เป็นคนร้ายรายสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสืบสวนติดตามมานานแล้ว แต่ไม่สามารถจับกุมได้โดยง่ายเพราะมีคนในชุมชนคอยให้ความช่วยเหลือคนร้ายอยู่ตลอด สร้างความยากลำบากให้กับเจ้าหน้าที่ ซ้ำยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่เลิกรา ต้องใช้มาตการขั้นเด็ดขาดโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นอันดับแรก และหากท่านใดมีเบาะแสสามารถส่งข้อมูลเพิ่มเติมมาได้ที่ เพจ สืบนครบาล IDMB ได้ตลอด 24 ชม.”



หลังจับกุมขยายผลได้นำตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ดำเนินคดีต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น