วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564

ครั้งแรกของประเทศ Crowdfunding มาตรฐานโลก (ระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มตามกฎหมาย)

 ครั้งแรกของประเทศ Crowdfunding มาตรฐานโลก (ระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มตามกฎหมาย) 


เงินท่าน ได้ช่วย ได้ใช้ ได้กำไร สร้างสังคมไทย ในยุคโควิด Beyond world เปิดระดมทุนเพื่อขยายสินค้า

สหกิจชุมชนทั่วประเทศ



 

26/1/64 คุณประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานกรรมการบริหารบริษัท เหนือโลก จำกัด และบริษัทในเครือเอ็มกรุ๊ป  แถลงข่าว ครั้งแรกของประเทศ Crowdfunding มาตรฐานโลก (ระดมทุนผ่านแพลตฟอร์มตามกฎหมาย) เงินท่าน ได้ช่วย ได้ใช้ ได้กำไร สร้างสังคมไทย ในยุคโควิด Beyond world เปิดระดมทุนเพื่อขยายฐานกระจายสินค้าในแต่ละภาค พร้อมขยายสร้างร้านค้า 7 -16 สินค้าสหกิจชุมชนทั่วประเทศ โครงการคืนคุณแผ่นดิน สนับสนุนสินค้าสหกิจชุมชน โดยซื้อสินค้าของชาวบ้านที่ขายและช่วยหาช่องทางตลาดในการกระจายสินค้า โดยโครงการฯเป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะมีศูนย์การค้า 7-16 ในการจัดจำหน่ายสินค้าชุมชน ทางโครงการรับซื้อสินค้าจากชุมชนและโรงงานโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ประโยชน์จะถึงประชาชนและร้านค้าหมู่บ้านกว่า 77,600 ร้านอย่างทั่วถึง







ขั้นตอน ประชาชนได้ บริษัทได้ ประเทศได้

1. การช่วยชุมชนโดยการสั่งซื้อสินค้าชุมชน (เพิ่มรายได้) ให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ 

2. ซื้อสินค้าโรงงาน (ลดรายจ่าย) ราคาสินค้าถูกลง

3. การขนส่ง จัดส่งสินค้าโดย M-Man เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน

4. ร้านค้าชุมชน เพิ่มศักยภาพให้เกิดความเข้มแข็ง เกิดการทำงาน

5. คลังสินค้า เพิ่มจุดบริการเพื่อรองรับความต้องการและความคล่องตัวในการกระจายสินค้าในแต่ละส่วนของภูมิภาค

6. เพิ่มความสะดวกสบายในการส่งสินค้า เพิ่มช่องทาง เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน 

ขั้นตอนการระดมทุน













 Crowdfunding เป็นไปตามกฎเกณฑ์และขั้นตอนของ บริษัท สินวัฒนา ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กลต. ให้เป็นผู้ให้บริการระบบ  Crowdfunding

 

ประธานกรรมการบริหารบริษัท เหนือโลก จำกัด กล่าวยืนยันว่า เราคือ “ครอบครัวเดียวกัน” ผลตอบแทนผู้ร่วมลงทุน 


สำหรับนักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน และไม่มีข้อจำกัดสำหรับนักลงทุน

แบบสถาบันหรือนักลงทุนแบบพิเศษ (ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุน)


ทั้งนี้ นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทะเบียนผ่าน แพลตฟอร์ม ลงทะเบียนเพื่อจองสิทธิ์ 


1. เข้าเว็บไซต์ https://equity.sinwattana.com/th/accounts/register 

2. กดเมนู สมัครสมาชิก

3. กรอกข้อมูล

4. ตรวจสอบอีเมล และกด Activate Account

5. กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน

นอกจากนี้  คุณหงส์ สิน เควก ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สินวัฒนา คราวด์ฟันดิง คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์  Crowdfunding Portal  ผู้ที่สนใจลงทุน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนติดต่อได้ที่ คุณณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม 088-195-4444 เว็บไซต์ https://equity.sinwattana.com/th/accounts/register 




ติดต่อ ประชาสัมพันธ์ได้ที่ คุณนพวรรณ ดุจศรีวัชร์ 062-245-1457

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลัง ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อยกระดับการบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับประเทศ .

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ผนึกกำลัง 

ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 

เพื่อยกระดับการบูรณาการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับประเทศ 

.


วันนี้ (วันพุธที่ 27 มกราคม 64 เวลา 11.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU]  ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการ อันเป็นการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีคณะผู้กรรมการและผู้บริหารของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

.




นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางของรัฐในการบูรณาการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศ ได้มุ่งส่งเสริมการฝึกการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ครอบคลุมทุกประเภทภัย ทุกระดับ และทุกรูปแบบ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเข้าใจบทบาทภารกิจ ภายใต้แผนและกฎหมายด้านการจัดการสาธารณภัย รวมถึงเสริมสร้างทักษะและความเชี่ยวชาญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถประสานปฏิบัติและบูรณาการจัดการในภาวะฉุกเฉินได้อย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านการจัดการสาธารณภัยและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยของภาครัฐ และนำไปสู่การสร้างประเทศไทยให้เป็นเมืองปลอดภัยอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อการเสริมสร้างศักยภาพ ขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และ/หรืออาสาสมัครมูลนิธิฯ และเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยให้สามารถบริหารจัดการและปฏิบัติตอบโต้เหตุฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น

.



นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือกันในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณท่านอธิบดี และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย 

ที่ให้โอกาสและให้เกียรติมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งเป็นองค์กรเอกชน ได้เป็นอีกหนึ่งพลัง ร่วมกับส่วนราชการในงานด้านบรรเทาสาธารณภัย ช่วยชีวิตและรักษาชีวิตประชาชนที่ประสบภัย ความร่วมมือนี้จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการจัดการกับภัยต่างๆ ของชาติได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 

.



ที่ผ่านมา  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ได้มีการประสานความร่วมมือกันทั้งด้านการปฏิบัติการและการพัฒนาด้านศักยภาพเป็นอย่างดีเรื่อยมา ด้วยสาธารณภัยในปัจจุบันมีความรุนแรงและสร้างความเสียหายมากขึ้น   การลงนามบันทึกความเข้าใจ [MOU] ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความร่วมมือ และเพิ่มขีดความสามารถ และเชื่อมโยงเครือข่ายอย่างเป็นระบบ  เพื่อให้ภารกิจด้านการจัดการสาธารณภัยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวม

.



## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้ ซับน้ำตาผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.ปัตตานี

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับมูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้ ซับน้ำตาผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.ปัตตานี




ตามที่มีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดปัตตานี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ มอบหมายให้ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นายพินัย ศรีพนาสณฑ์ ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ประสานมูลนิธิสงเคราะห์ 14 จังหวัดภาคใต้ ในการมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิต จำนวน 2 รายๆ ละ 20,000 บาท พร้อมมอบถุงยังชีพบรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 2,000 ชุด แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ อ.เมือง อ.หนองจิก และ อ.ยะรัง จังหวัดปัตตานี รวมงบประมาณช่วยเหลือเป็นเงิน 740,000 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) โดยมี มูลนิธิสงเคราะห์ผู้ประสบภัย 14 จังหวัดภาคใต้ และมูลนิธิร่วมบำเพ็ญการกุศลจังหวัดปัตตานี เป็นผู้ประสานงานและออกแจกจ่ายถุงยังชีพเมื่อวันที่ 16-18  มกราคม 64 ที่ผ่านมา ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

.





ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : คุณวชิรา บุญญะ (มิตรภาพ802) แผนกสื่อสารองค์กร มูลนิธิมิตรภาพสามัคคี(ท่งเซียเซี่ยงตึ๊ง) หาดใหญ่

.






## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2564

ตะลึง!!! บช.ไซเบอร์กวาดล้างบ่อนออนไลน์ พบหญิงสาว อายุ 27 เป็นเจ้าของ เงินหมุนเวียนกว่า 30 ล้านบาท

 


ตะลึง!!! บช.ไซเบอร์กวาดล้างบ่อนออนไลน์ พบหญิงสาว อายุ 27 เป็นเจ้าของ เงินหมุนเวียนกว่า 30 ล้านบาท ภายใต้อำนวยการการจับกุมของ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง  ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ  บุญญลักษม์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง  ผบก.สอท.3 , พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์  เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ  บก.สอท.3 (หัวหน้าชุด) และคณะทำงานด้านที่ 5  ประเภท การพนันออนไลน์  อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่นๆ ของกองบัญชาการไซเบอร์ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ทางตำรวจ






ได้สืบทราบและเฝ้าดูพฤติกรรมหญิงดังกล่าวมานาน ก่อนจะเข้าทำการจับกุม น.ส.สุธาสินี   สิทธิยา อายุ 27 ปี ข้อหา "จัดให้มีการเล่น หรือโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันออนไลน์ โดยไม่ได้รับอนุญาต”  โดยจับกุมได้ที่หมู่บ้านหรูใจกลางเมืองอุบลราชธานี พร้อมบัญชีทรัพย์สินจำนวนมากมายและมีเงินหมุนเวียนมากถึง 30 ล้านบาท นับว่า เป็นอันตรายและภัยแก่สังคมอย่างยิ่งเกี่ยวกับปัญหาบ่อนพนันออนไลน์ที่แพร่ระบาดในเวลานี้






รายงานข่าวโดย/ ท่านที่ปรึกษาสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย / บรรณาธิการข่าวกีฬาหนังสือพิมพ์เบื่องหลังข่าวหนังสือพิมพ์อรัญนิวส์

ภูมิพัฒน์ จตุรภัทร

ศาลพิพากษายกฟ้องดร.เซปิงอีก1คดีถูกกล่าวหาหลอกลวงทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉม วันที่ 26 ม.ค.64 ดร.เซปิง ไชยศาส์น ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เปิดเผยว่า จากกรณีที่นางฐานิต ไนการ์ด อายุ 57 ปี ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งกล่าวหาใส่ความว่า “ถูกหลอกลวง”ทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉมและได้เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.เซปิง กับพวก 4 คน โดย ดร.เซปิง เป็นจำเลยที่ 1 เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ จำนวน 3,268,500 บาท ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63 ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วสรุปตามคำพิพากษาศาลแพ่งโดยย่อ รายละเอียดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3672/2562 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงมีรายละเอียดบางส่วนว่า ดร.เซปิง ไม่เคยโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความอันเป็นเท็จ รอยแผลของนางฐานิต ที่เกิดจากการเปิดผิวหนังเพื่อทำการดึงหน้าตั้งแต่ขมับถึงติ่งหูเป็นรอยแผลที่มีลักษณะเรียบ สวย และเนียน จึงถือไม่ได้ว่านางฐานิต ได้รับความเสียหาย ก่อนผ่าตัดคิ้วด้านขวาของนางฐานิต ต่ำกว่าคิ้วด้านซ้ายอย่างชัดเจน หลังผ่าตัดคิ้วทั้งสองข้างของนางฐานิต อยู่ในระดับเดียวกัน ถือว่าสภาพใบหน้าของนางฐานิต บริเวณหน้าผากและคิ้วทั้งสองข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า นางฐานิต มิได้รับความเสียหายในส่วนนี้ ส่วนนางฐานิต เบิกความว่าปัจจุบันยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ และคันบริเวณขมับทั้งสองข้างนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวมาแสดงต่อศาล นายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่านางฐานิต มาพบตนเพื่อรักษาอาการเจ็บและคัน และตามรายงานการตรวจชันสูตร ของโรงพยาบาลตำรวจ ก็มิได้ระบุถึงอาการเจ็บและคันตามที่นางฐานิตเบิกความ นายแพทย์เทพ พยานนางฐานิต เบิกความว่าหลังผ่าตัดจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต หายไปเนื่องจากมีการดึงหนังหน้าตึงเกินไปนั้น เมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายของนางฐานิต ก่อนและหลังผ่าตัด แล้ว ปรากฏว่าบริเวณจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต มิได้หายไปและไม่ปรากฏว่ามีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการผ่าตัดแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่านางฐานิต ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ใบหน้าของนางฐานิต หลังการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกมุมและทุกอากัปกิริยา ถือว่าผลการผ่าตัดเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และบรรลุวัตถุประสงค์ของการดึงหน้าสามส่วนและดึงคอตามหลักวิชาศัลยศาสตร์ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ผลดีเป็นที่พอใจ พยานหลักฐานที่ ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่า พยานหลักฐานของนางฐานิต ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อนางฐานิต เมื่อศาลรับฟัง ข้อเท็จจริงดังนี้แล้ว ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่ นางฐานิต พิพากษายกฟ้อง ดร.เซปิง กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะขอนำเสนอคลิปความจริงให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาก่อนทำศัลยกรรม และข้อมูลความจริงให้สังคมและประชาชนเข้าใจพร้อมกันต่อไปในส่วนที่ตนถูกทำลายชื่อเสียง จนทำให้สังคมเข้าใจผิดและสังคมตัดสินไปตามที่ถูกกล่าวหา และส่งผลให้บุคคลที่จะเข้ามาขอรับคำปรึกษาจาก ดร.เซปิง เกิดความลังเลใจไม่เชื่อมั่น ทำให้ไม่ได้รับโอกาสในการดูแลด้านความงาม เรื่องราวที่ถูกกล่าวหาเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ไม่ยุติธรรม มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนี้ ดร.เซปิง ก็จะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อขอคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเอง และดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับบุคคลที่หมิ่นประมาทและเบิกความเท็จ รวมถึงแพทย์บางคนที่ให้ความเห็นต่อศาลอันผิดต่อหลักวิชาการทางการแพทย์ ต่อไป

 ศาลพิพากษายกฟ้องดร.เซปิงอีก1คดีถูกกล่าวหาหลอกลวงทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉม



วันที่ 26 ม.ค.64 ดร.เซปิง ไชยศาส์น ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟได้เปิดเผยว่า จากกรณีที่นางฐานิต ไนการ์ด อายุ 57 ปี ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งหนึ่งกล่าวหาใส่ความว่า “ถูกหลอกลวง”ทำศัลยกรรมจนหน้าเสียโฉมและได้เป็นโจทก์ฟ้อง ดร.เซปิง กับพวก 4 คน โดย ดร.เซปิง เป็นจำเลยที่ 1 เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์ จำนวน 3,268,500 บาท ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2559

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63 ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ซึ่งศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วสรุปตามคำพิพากษาศาลแพ่งโดยย่อ รายละเอียดปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3672/2562 คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.4648/2563 ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงมีรายละเอียดบางส่วนว่า ดร.เซปิง ไม่เคยโฆษณาชวนเชื่อด้วยข้อความอันเป็นเท็จ รอยแผลของนางฐานิต ที่เกิดจากการเปิดผิวหนังเพื่อทำการดึงหน้าตั้งแต่ขมับถึงติ่งหูเป็นรอยแผลที่มีลักษณะเรียบ สวย และเนียน จึงถือไม่ได้ว่านางฐานิต ได้รับความเสียหาย ก่อนผ่าตัดคิ้วด้านขวาของนางฐานิต ต่ำกว่าคิ้วด้านซ้ายอย่างชัดเจน หลังผ่าตัดคิ้วทั้งสองข้างของนางฐานิต อยู่ในระดับเดียวกัน ถือว่าสภาพใบหน้าของนางฐานิต บริเวณหน้าผากและคิ้วทั้งสองข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า นางฐานิต มิได้รับความเสียหายในส่วนนี้

ส่วนนางฐานิต เบิกความว่าปัจจุบันยังคงรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ และคันบริเวณขมับทั้งสองข้างนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าวมาแสดงต่อศาล นายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่านางฐานิต มาพบตนเพื่อรักษาอาการเจ็บและคัน และตามรายงานการตรวจชันสูตร ของโรงพยาบาลตำรวจ ก็มิได้ระบุถึงอาการเจ็บและคันตามที่นางฐานิตเบิกความ นายแพทย์เทพ พยานนางฐานิต เบิกความว่าหลังผ่าตัดจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต หายไปเนื่องจากมีการดึงหนังหน้าตึงเกินไปนั้น เมื่อเปรียบเทียบภาพถ่ายของนางฐานิต ก่อนและหลังผ่าตัด แล้ว ปรากฏว่าบริเวณจอนผมทั้งสองข้างของนางฐานิต มิได้หายไปและไม่ปรากฏว่ามีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนการผ่าตัดแต่อย่างใด จึงไม่อาจรับฟังว่านางฐานิต ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน



ใบหน้าของนางฐานิต หลังการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกมุมและทุกอากัปกิริยา ถือว่าผลการผ่าตัดเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และบรรลุวัตถุประสงค์ของการดึงหน้าสามส่วนและดึงคอตามหลักวิชาศัลยศาสตร์ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดได้ผลดีเป็นที่พอใจ พยานหลักฐานที่ ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่า พยานหลักฐานของนางฐานิต ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อนางฐานิต เมื่อศาลรับฟัง ข้อเท็จจริงดังนี้แล้ว ดร.เซปิง และจำเลยทั้งสาม จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตามฟ้องให้แก่ นางฐานิต พิพากษายกฟ้อง



ดร.เซปิง กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะขอนำเสนอคลิปความจริงให้ได้เห็นถึงสภาพปัญหาก่อนทำศัลยกรรม และข้อมูลความจริงให้สังคมและประชาชนเข้าใจพร้อมกันต่อไปในส่วนที่ตนถูกทำลายชื่อเสียง จนทำให้สังคมเข้าใจผิดและสังคมตัดสินไปตามที่ถูกกล่าวหา และส่งผลให้บุคคลที่จะเข้ามาขอรับคำปรึกษาจาก ดร.เซปิง เกิดความลังเลใจไม่เชื่อมั่น ทำให้ไม่ได้รับโอกาสในการดูแลด้านความงาม เรื่องราวที่ถูกกล่าวหาเป็นข้อมูลที่บิดเบือนความจริง ไม่ยุติธรรม มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนี้ ดร.เซปิง ก็จะขอใช้สิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อขอคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเอง และดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับบุคคลที่หมิ่นประมาทและเบิกความเท็จ รวมถึงแพทย์บางคนที่ให้ความเห็นต่อศาลอันผิดต่อหลักวิชาการทางการแพทย์ ต่อไป


วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564

 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา​ ศักดิ์​ ปากพนัง​ และ​ เอกธีระพงศ์​ ได้มาที่บริษัทท็อปอัพทูริชสัานักงานใหญ่ยานนาวา​ มาพบลูกทีมและ​ ประชุมใหญ่​