เมื่อเวลา ๑๐.๑๕ น.วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ.สำนักอัยการสูงสุด ชั้น ๒ ศูนย์ราชการ อาคาร A ถ.แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี นาย อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง พร้อมด้วย นาย พงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง และ นพพร นามเชียงใต้ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม จากกรณีที่ถูกดำเนินคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ทำให้เสียทรัพย์ บุกรุก ความผิดต่อ พระราชบัญญัติจราจรทางบก โดยศาลขั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแล้ว คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาคำพิพากษาของศาลจังหวัดพัทยา คดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๕๓๗ , ๓๖๕๐ , ๘๗๙๗/๒๕๕๒ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๔๘๘ , ๘๔๘๙ , ๕๘๔๕/๒๕๕๒ และ สำเนาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค ๒ คดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๕๔๕ ถึง ๑๕๔๖/๒๕๕๘ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๙๖๑ ถึง ๑๙๖๒/๒๕๕๙
ต่อมาปรากฏความว่า พยานปาก พันตำรวจโทศราวุธ บุญชัย
ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญในคดี ได้ถูกดำเนินคดี ตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ , ๑๗๒ , ๑๗๔ , ๑๗๗ และศาลได้มีคำ
พิพากษาว่าพยานปากพันตำรวจโทศราวุธ บุญชัย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗
, ๑๗๒ , ๑๗๔ , วรรคสอง
, ๑๗๗ วรรคสอง การกระทำของจำเลยมีความผิดหลายกรรม
ฐานแจ้งความเท็จเพื่อให้ได้รับโทษทางอาญา ลงโทษตามมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง จำคุก ๒ ปี
และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ฐานเบิกความเท็จต่อศาลในคดีอาญา มาตรา
๑๗๗ วรรคสอง ลงโทษจำคุก ๓ ปี และปรับ ๑๔,๐๐๐ บาท
ต่อมาโจทก์และจำเลยได้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเฉพาะมาตรา ๑๓๗
ส่วนการกระทำของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง
เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
ลงโทษตามมาตรา ๑๗๔ วรรคสอง ฐานแจ้งความเท็จกลั่นแกล้ง
เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
๙๐
รายละเอียดปรากฏตาม
สำเนาคำพิพากษาศาลจังหวัดพัทยา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.๓๒๖๖/๒๕๕๙
คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.๒๖๗๘/๒๕๖๐ และ สำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค ๒
คดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๒๓/๒๕๖๑ คดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๐๐๑/๒๕๖๑ และขณะนี้ยังมีนาย
ศักดิ์ดา นพสิทธิ์ ๑ ในจำเลย ซึ่งเป็นผู้เสียหายในกรณีเดียวกันนี้
ก็ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ต่อสถานีตำรวจเมืองพัทยาและสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาก็ได้มีคำสั่งฟ้องพยานปากนี้แล้ว
ซึ่งมีกำหนดนัดส่งตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานอัยการจังหวัดพัทยาในวันที่ ๒๑ สิงหาคม
๒๕๖๒ นี้ ประกอบกับนายนพพร นามเชียงใต้ ๑
ในจำเลยซึ่งเป็นผู้เสียหายในกรณีเดียวกันนี้ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจเมืองพัทยาไว้แล้วเช่นกัน
ซึ่งมีรายละเอียดปรากฏตามหนังสือสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา ที่ อส.๐๐๔๒
(พัทยา)/๕๖๑๔ และรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี สถานีตำรวจเมืองพัทยา ลงวันที่ ๒
กรกฎาคม ๒๕๖๑
นายอริสมันต์พงษ์เรืองรอง
กล่าวต่อว่าจากมูลเหตุดังกล่าวเบื้องต้น
จะเห็นได้ว่าข้าพเจ้ากับพวกนั้นถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
และมีการตั้งข้อกล่าวหาที่หนักเกินกว่าความเป็นจริง
เพราะในคดีนี้ข้าพเจ้ากับพวกมิได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงในเวลาต่อมาว่า
อัยการโจทก์ได้นำพยานเอกสารและพยานบุคคลเข้าเบิกความเท็จต่อศาล
จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ากับพวกได้รับความเสียหาย
การกระทำของอัยการโจทก์เป็นความผิดต่อกระบวนการยุติธรรม การที่อัยการโจทก์นำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเข้านำสืบในชั้นพิจารณาคดีต่อศาล
ซึ่งสำนวนฟ้องของอัยการโจทก์เป็นการฟ้องคดีที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ข้าพเจ้ากับพวกจึงร้องขอความเป็นธรรมมายังท่านอัยการสูงสุด
ได้โปรดพิจารณาดำเนินการมีคำสั่งให้อัยการโจทก์ถอนฟ้องคดีนี้ออกจากสารบบความเสียก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งพิพากษา
และมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้ถูกต้องและเป็นไปตามข้อเท็จจริงตามสำนวนในคดี
เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อให้ความยุติธรรมแก่ข้าพเจ้ากับพวกต่อไป
นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น