กมธ.ทหารฯวุฒิสภา ห่วงภัยความมั่นคงชาติ ประชุมหลายหน่วยงานเตรียมพร้อมรับมือภัยความมั่นคงทุกรูปแบบ
เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ CB 411 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.)การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ประชุมร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการกิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ครั้งที่ 4/2568 ที่มีพลเอกสวัสดิ์ ทัศนา ประธานคณะกมธ.เป็นประธานการประชุม โดยมีผลการประชุมพิจารณาการเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงของหน่วยงานความมั่นคง ดังนี้ ประเด็นที่ 1 การเตรียมความพร้อมของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐด้านความมั่นคงสำหรับการรับมือกรณีเมื่อมีเหตุภาวะสงครามและไม่สามารถดำรงชีวิตตามปกติว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐได้มีการเตรียมการแก้ไขปัญหาด้านการอุปโภคและบริโภคพื้นฐาน เช่น อาหาร พลังงาน การสื่อสาร การรักษาความสงบ การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรืออื่นๆที่มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงอย่างไร
ซึ่งผู้แทนเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ได้ชี้แจงในที่ประชุมใจความว่า การดำเนินงานของ สมช.คือการรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและสนับสนุนหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง หรือตามที่หน่วยงานความมั่นคงต่างๆร้องขอต่อ สมช.ตามกฎหมายและแผนระดับต่างๆ
ผู้แทนจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ชี้แจงในที่ประชุมว่าการดำเนินงานของ กม.รมน.เป็นไปตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยไม่มีอำนาจการดำเนินการในส่วนนี้ แต่ กอ.รมน.จะให้การสนับสนุนต่างๆกับหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องตามที่ร้องขอ เช่น การระดมสรรพกำลังและความช่วยเหลือประชาชน
ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงใจความสําคัญว่า การประเมินสภาพแวดล้อมความมั่นคงต่างๆได้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนระดับ 1 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนระดับ 2 จนถึงแผนระดับ 3 รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของประเทศให้พร้อมเผชิญภัยคุกคามที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติในรูปแบบต่างๆและแผนปฏิบัติการด้านการปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติในภาพรวม ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดอยู่ในเอกสารยุทธศาสตร์ชาติและการพัฒนากองทัพ พ.ศ.2569-2580
ผู้แทนจากกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า กระทรวงพลังงานมีการเตรียมความพร้อมจัดหาพลังงานเพื่ออุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐานในภาวะปกติจะมีระยะเวลา 3 เดือน สรุปได้ว่าหากเกิดภาวะสงครามจะมีพลังงานเพื่ออุปโภคบริโภคประมาณ 3 เดือนและมีแผนสำรอในการจัดหาพลังงานตามสถานการณ์
ซึ่งที่ประชุมมีข้อสังเกตในการ
เตรียมความพร้อมของหน่วยงานความมั่นคงให้มีการซักซ้อมแผนและซักซ้อมจริงหรือภาษาทหารเรียกว่าจำลองยุทธรวมทั้งกระตุ้นเตือนการมีส่วนร่วมให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังและเสมือนจริงเพื่อเป็นการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป
นอกจากนี้การอ้างสิทธิบริเวณทะเลเกาะกูดและพื้นที่ทับซ้อนในทะเลระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชาที่หลักเขต 73และยอดเขาสูงสุดที่เป็นหลักหมายสำคัญกำหนดเขตแดนประเทศไทยตามสนธิสัญญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งปัญหาเอกสารสิทธิที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว
ิรองอธิการกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ชี้แจงว่า ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณเกาะกูด มีแต่การอ้างสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยปี 2516 คือการไม่ยอมรับการประกาศไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชา ปี 2515 โดยประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้เจรจาร่วมกันเพื่อแบ่งเขตทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ทางทะเลร่วมกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ผู้แทนกรมแผนที่ทหาร ชี้แจงว่าการดำเนินงานของกรมแผนที่ทหารเป็นงานเชิงเทคนิคเกี่ยวกับการอ้างสิทธิบริเวณทะเลเกาะกูดและพื้นที่อ้างสิทธิในทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ในระดับนโยบายดำเนินการผ่านคณะกรรมการJBC ร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ
ผู้แทนกรมอุทกศาสตร์ ชี้แจงว่ากรมอุทกศาสตร์มีหน้าที่สำรวจหลักเขตแดน ประภาคารหรือกระโจมไฟรวมทั้งการดูแลความเรียบร้อยของเรือที่มีการเดินเรือในพื้นที่น่านน้ำไทยทั้งหมด
ผู้แทนสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงว่า กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตาม พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและความสงบเรียบร้อยให้กับคนในพื้นที่อำเภอเกาะกูดเป็นสำคัญ
ทั้งนี้กมธ.ให้ข้อสังเกตต่อหน่วยงานต่างๆว่าให้ดำเนินการโดยยึดหลักความถูกต้องและประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องเพิ่มการสร้างความเข้าใจของสังคมให้มากขึ้นถึงกรณีเกาะกูด ว่าเป็นสิ่งที่หน่วยงานทุกหน่วยมีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่รักษาสิทธิและพื้นที่ตามหลักกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น