วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

นนทบุรี สนธิ ลิ้มทองกุล นำเอกสารหลักฐานยื่นปปช.ให้ตรวจสอบที่ดินชูวิทย์ (มีภาพทีวี)

 นนทบุรี สนธิ ลิ้มทองกุล นำเอกสารหลักฐานยื่นปปช.ให้ตรวจสอบที่ดินชูวิทย์ (มีภาพทีวี)




เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 พ.ค.66 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ถ.นนทบุรี1 อ.เมืองนนทบุรี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชากระทรวงสาธารณสุข เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายศรชัย ชูวิเชียร ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานปปช. เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่ดิน บริเวณถ.สุขุมวิท10 กทม.ของของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ว่าที่ดินดังกล่าวได้กลายเป็นที่ดินสาธารณะไปแล้วหรือไม่ โดยมีเจ้าหน้าที่ปปช.ลงมารับเรื่องร้องทุกข์



นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ได้มายื่นคำร้องกับ ปปช.ซึ่งตนกับคุณปานเทพไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนนี้เป็นกรณีแรกที่ทำ เหตุผลที่ตนและคุณปานเทพยังไม่เข้าใจแล้วมีความรู้สึกว่ามีความสับสนอย่างมากในเรื่องที่ดินเรื่องสวนชูวิทย์ ของคุณ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จากการที่ได้รับข้อมูลมาและตรวจสอบด้วยตัวเอง ค้นพบและพูดคุยกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางกฏหมายทุกคนก็ให้เหตุผลว่า สวนชูวิทย์ กลายเป็นสาธรณะสมบัติไปแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณชูวิทย์พูด อีกประการตนได้ทำหนังสือร้องเรียนไปที่ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร คุณ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และผู้อำนวยการเขตคลองเตย ชี้แจงถึงประเด็นข้อสงสัย และอยากขอให้กรุงเทพมหานครช่วยจัดการตรวจสอบประชุมกันและมีมติชัดเจน จะทำยังไงจับสวนชูวิทย์นี้ทางกรุงเทพมหานครคิดว่าเป็นสาธารณะสมบัติหรือยังเป็นสมบัติของคุณชูวิทย์ เหมือนกับที่ท่านผู้ว่าชัชชาติ พยายามออกมาบอกว่าเป็นสมบัติของบริษัทคุณชูวิทย์ตอนแรกที่ปัดไป พอตนได้ส่งจดหมายเป็นทางการไปท่านก็เริ่มตั้งคณะกรรมการและหลังจากนั้นอีก 7 วัน ตนก็ส่งจดหมายไปอีกฉบับหนึ่งให้เวลาท่าน 30 วัน ให้ท่านมีคำตอยออกมา ถ้าท่านยังไม่มีคำตอบออกมา ซึ่ง 30 วันนั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา ตนจึงบอกว่าตนจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาร้องต่อ ปปช. เพราะในทีมกฏหมายของตนยืนยันได้ว่า สวนคุณชูวิทย์ ตกเป็นของสาธารณะสมบัติอย่าง 100 เปอร์เซ็น พร้อมทั้งแนบฎีกา 14 ฎีกามาให้ด้วยเหตุนี้คือวัตถุประสงค์ที่มาในวันนี้ 






ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า หลักฐานที่ได้มาถือว่าแน่นหนาโดยเหตุการครั้งแรกเมื่อปี 2546 เกิดการลื้อบาเบียร์บนที่ดินสวนชูวิทย์ แล้วหลังปี 46 ปรากฏว่าปี48 คุณชูวิทย์ได้เปิดสวนชูวิทย์ขึ้นและยังยืนยันว่าที่ตรงนี้เป็นของตนเองและตระกูลแต่ขอเสียสละที่ตรงนี้ให้เป็นสวนของกทม. 24 ธ.ค.2548 หลังจากนั้นศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีการยกฟ้องจำเลยส่วนใหญ่ พิพากษาจำคุก 1 คนก็คือ 13 ก.ค.2549 หลังจากนั้นก็ไปที่ศาลศาลอุทธรณ์ คราวนี้วันที่ 11 ก.ย. 2555 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คุณชูวิทย์และพวก 66 คนมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพและใช้กําลังประทุษร้าย จึงพิพากษาจำคุกคนละ5ปีโดยไม่รอลงอาญา แต่ปรากฏว่าพอถึงวันพิพากษาศาลฎีกา ตรงกับวันที่ 15 ต.ค.2558 ศาลฎีกาเตรียมอ่านคำพิพากษา พอเตรียมอ่านเสร็จคุณชูวิทย์ยืนคำให้การเป็นแถลงใหม่ ว่าสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นสวนสาธารณะและจะไม่ทำกิจการใดๆอีก คือยืนยันว่าเป็นสวนสาธารณะแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา หลีงจากนั้นเดือนเดียวกันคุณชูวิทย์ยื่นเอกสารแถลงครั้งที่2 คราวนี้มีทั้งแผนที่ ภาพถ่ายว่าสวนสาธารณะผืนที่เรียกว่าสวนชูวิทย์เป็นสวนสาธารณะทั้งหมด หลังจากนั้นเสร็จในที่สุด วันที่ 28 ม.ค.2559 ศาลฎีกาก็ได้อ่านคำพิพากษา และก็ได้ลงวันที่ 29 ธ.ค.2559 ลดโทษคุณชูวิทย์ จาก 5ปี เหลือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา 1.เรื่องคำสารภาพไม่มีผล แต่ว่ามีการชดใช้เงินให้กับฝ่ายโจทย์และผู้เสียหายจนพอใจ แต่คุณชูวิทย์ได้นำที่ดินที่พิพาทมาก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนพักผ่อน ไม่ได้นำที่ดินพิพาทไปก่อสร้างศูนย์การค้าย้อนยุคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้เสียรายได้จำนวนมาก คุณชูวิทย์รู้ผิดที่ได้กระทำไป ศาลลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี ด้วยเหตุนี้ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น