การบาดเจ็บปัญหาที่พบบ่อยใน
“ผู้สูงอายุ” ที่ได้รับอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มส่วนมากคือ กระดูกสะโพกหัก
ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้พิการและมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง
สาเหตุของอุบัติเหตุที่พบบ่อยในผู้สูงอายุคือ การหกล้ม เช่น ลื่นล้มในห้องน้ำ
การตกเตียง ตกบันได ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 65-75 ปี อันตรายที่สำคัญ คือ การบาดเจ็บร่วมกันในหลายอวัยวะ
ได้แก่ ศีรษะ อก ท้อง หลัง สะโพก แขน ขาประกอบกับผู้สูงวัยมักมีโรคประจำตัว มวลกระดูกลดลง ทำให้กระดูกจะหักง่ายและรุนแรงกว่า
การปฐมพยาบาลเมื่อผู้สูงอายุล้มผู้ดูแลจะต้องประเมินการบาดเจ็บที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเช่น
ภาวะช็อค บาดเจ็บที่สมอง และไขสันหลัง
แล้วจึงประเมินการบาดเจ็บที่พบบ่อย เช่น สะโพกหัก และต้องป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในขณะอุ้ม
ยก เคลื่อนย้ายเพื่อนำส่งโรงพยาบาลเมื่อทีมรถฉุกเฉินประเมินอาการและดูแลเบื้องต้นแล้วจะประสานงานมาที่แพทย์ฉุกเฉินเพื่อเตรียมการดูแลตามแนวทางการรักษาผู้บาดเจ็บขั้นสูง
(Advanced
Trauma Life Support) ผู้สูงอายุที่มีการบาดเจ็บหลายระบบต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาที่เกี่ยวข้องร่วมดูแล
ได้แก่ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศัลยแพทย์อุบัติเหตุศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ
แพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ฯลฯ ร่วมกันดูแลรักษา ในภาวะเร่งด่วนจะมีการประกันเวลาการตรวจรักษา
และเตรียมผ่าตัดเพื่อผลการรักษาที่ดี
นพ.ประณต
นิพัทธสัจก์ ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่อาจพบได้จากการหกล้มของผู้สูงอายุคือ
การบาดเจ็บที่ศีรษะ (Traumatic Brain Injury)ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเลือดคั่งในสมองที่สูงขึ้น
โดยอาการแสดงที่มีอาจไม่สัมพันธ์กับความรุนแรงที่ได้รับ อาจเกิดการบาดเจ็บต่อหนังศีรษะ
กะโหลกศีรษะและเนื้อเยื่อที่เป็นส่วนประกอบภายในกะโหลกศีรษะ
ซึ่งอาจทำให้มีหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัวในผู้สูงวัยมักหกล้มง่ายเนื่องจากมีระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานประสานกันไม่ดี
ผู้สูงวัยมักเดินช้า ตามองไม่ชัด การได้ยินเสียงและความจำไม่ดี
รวมทั้งมักมีอาการเวียนศีรษะจึงพลัดตกหกล้มได้ง่ายนอกจากนี้บางรายรับประทานยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
เช่น warfarin (coumadin),
clopidogrel(plavix)ซึ่งทำให้เลือดออกไม่หยุดเมื่อเกิดบาดเจ็บ มีความเสี่ยงให้เกิดสมองกระเทือน หรือสมองช้ำ
มีเลือดคั่งในกระโหลกศีรษะได้
ผู้สูงอายุที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะจึงควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์โดยเร็ว
การสังเกตอาการในโรงพยาบาลตามข้อบ่งชี้ อาทิ ระดับความรู้สึกตัว มีแขนขาอ่อนแรง
ตาพร่า ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
มีความจำหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ฯลฯ หากมีอาการรุนแรงแพทย์จะพิจารณาส่งตรวจสมองด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์CT หรือ MRI ดังนั้นทีมแพทย์ระบบประสาท
จะตรวจเช็กระบบประสาท ทุก 1-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ
หากผู้ป่วยจำเป็นต้องผ่าตัดสมอง เพื่อระบายเลือดที่กดเนื้อสมองออก
ในบางรายที่มีภาวะสมองบวมหรือช้ำ ไม่เป็นก้อนเลือดชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดสายวัดแรงดันในกระโหลกศีรษะ
เพื่อเฝ้าดูการความเปลี่ยนแปลงของแรงดันในกระโหลกศีรษะ ดังนั้นลูกหลานควรตรวจประเมินความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ
เช่น หมั่นคอยสังเกตอาการ และความผิดปกติของการมองเห็นของผู้สูงวัย
สังเกตอาการและความผิดปกติของการเดิน การทรงตัว เนื่องจากผู้สูงอายุมีกลไกการทำงานที่ควบคุมการทรงตัวของระบบอวัยวะต่างๆ
ลดลง ทำให้สมดุลในการทรงตัวบกพร่อง สังเกตอาการและความผิดปกติทางด้านการรับรู้
เช่น สับสน หลงลืมเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ และบุคคล เป็นต้นรวมทั้งมีการรับรู้
ตัดสินใจ หรือตอบสนองได้ช้าลง หมั่นคอยประเมินสภาพบ้านที่อยู่อาศัย
ทั้งในบ้านและบริเวณบ้าน อย่างไรก็ตาม
ในครอบครัวที่มีผู้สูงอายุในบ้านควรระมัดระวัง
ทันทีที่ล้มควรพามาพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กว่ากระดูกหักหรือไม่
และสมองได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
อย่าคิดไปเองว่าอาการลุกยืนเดินไม่ได้เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามปกติ
หรือเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคสมองเสื่อม โรคซึมเศร้า เป็นต้นหากมีศีรษะกระแทกและไม่รู้สึกตัว
ให้นอนในท่าเดิมและเรียกรถพยาบาล แต่ถ้าผู้ป่วยรู้ตัวดีและมีอาการปวดต้นคอร่วมด้วยให้นอนราบไม่หนุนหมอนเรียกรถพยาบาล
พยายามขยับผู้ป่วยให้น้อยที่สุด
นพ.เอกจิต
ศิขรินกุล ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ ศูนย์กระดูกและข้อกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพกล่าวว่า
หนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สร้างความทรมานในการใช้ชีวิต คือ กระดูกหัก
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่ากระดูกหักเพราะ “อุบัติเหตุ” แต่กระดูกหักในผู้สูงอายุนั้นมีภัยเงียบที่เป็นสาเหตุหลักของกระดูกหัก
คือ “โรคกระดูกพรุน” เพราะไม่พบอาการใดๆ มาพบอีกทีเมื่อล้มแล้วเกิดกระดูกหักขึ้น
ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2542 พบว่า
อุบัติการณ์การเกิดกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุไทยสูงขึ้นจากปีละ 180 รายต่อแสนประชากรผู้สูงวัย เป็น 450-750 รายต่อแสนประชากรผู้สูงวัยภายในปี พ.ศ. 2568 และจากการศึกษาของ Cooper et al ในปีพ.ศ. 2540 พบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้กว่า 20% จะเสียชีวิตภายใน 1ปี โดย 40%ไม่สามารถเดินด้วยตัวเองได้
และมากถึง 80%ขาดความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง
โดยแต่ละปี
1 ใน 3 ของผู้สูงอายุมักประสบการลื่นล้มและครึ่งหนึ่งลื่นล้มมากกว่า
1 ครั้ง เมื่อผู้สูงอายุหกล้ม ร้ายแรงที่สุดก็คือ 20%ของผู้สูงอายุหกล้มแล้วกระดูกสะโพกหัก อาจมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ภายใน 1 ปีดังนั้น
ผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกสะโพกหักจึงจำเป็นต้องได้รับการป้องกันการเกิดกระดูกหักซ้ำภายหลังการผ่าตัดร่วมด้วย
อาการที่สงสัยว่ามีกระดูกสะโพกหัก คือ
หลังจากหกล้มจะมีอาการปวดบริเวณสะโพกข้างที่หัก ลุกเดินไม่ได้
หรือลงน้ำหนักขาข้างที่สะโพกหักไม่ได้
หากญาติพบผู้ป่วยหกล้มและสงสัยกระดูกสะโพกหักให้ผู้ป่วยพักในท่าที่สบาย
พยายามอย่าเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และโทรเรียกรถพยาบาลมารับผู้ป่วยไปตรวจโดยเร็ว
ดังนั้น
การรักษาผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกหักจากการพลัดตกหรือหกล้มนั้นจะให้ความสำคัญกับกระดูกสะโพกเป็นหลัก
ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาหรือผ่าตัดภายใน 24 - 48 ชม. ด้วยระบบการรักษาแบบ
Co-management โดยให้ผู้เชี่ยวชาญสหสาขาวิชาชีพ
(Multidisciplinary team) ร่วมดูแล ประกอบไปด้วย
แพทย์ศัลยกรรม แพทย์ศัลยกรรมออโธปิดิกส์ อายุรแพทย์ผู้สูงอายุ วิสัญญีแพทย์
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด เภสัชกรคลินิก นักโภชนากร และพยาบาล
จะเข้าร่วมประเมินผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับในทุกๆด้านอย่างเป็นองค์รวม
เพื่อร่วมวางแผนการรักษาร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัว
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาเดินได้ในสภาพเดิมในเวลาอันสั้น
แพทย์จะใช้การผ่าตัดกระดูกสะโพกหักแบบแผลเล็ก โดยเทคนิคการรักษากระดูกหักแบบรถไฟใต้ดิน
(Minimally Invasive Osteosynthesis, MIPO) เป็นการผ่าตัดตรึงกระดูกแบบแผลเล็ก ใช้อุปกรณ์เฉพาะในการทำทาง เพื่อสอดโลหะแกน
หรือโลหะแผ่นใต้ชั้นกล้ามเนื้อผ่านตำแหน่งที่หัก
โดยวางเหล็กแผ่นอยู่เหนือผิวกระดูก จากนั้นจึงเปิดแผลเล็กๆ
เพื่อยึดกระดูกด้วยสกรูด้านบนและด้านล่างของตำแหน่งที่หัก โดยพยายามทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อให้น้อยที่สุด
ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องเอ็กซเรย์ฟรูโอโรสโคปช่วยในการจัดแนวกระดูกและวางตำแหน่งของโลหะ
ข้อดีคือ ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการปวดน้อยลง
ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด และลดการเสียเลือด
ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว กระดูกติดเร็ว และแผลมีขนาดเล็กสวยงาม นอกจากนี้
ยังมีเทคนิคการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแนวใหม่ แบบไม่ตัดกล้ามเนื้อ” โดยผ่าตัดเข้าจากด้านหน้าข้อสะโพกแนวใหม่
แบบไม่ตัดกล้ามเนื้อ (Direct Anterior Approach:DAA) เป็นการผ่าตัดทางด้านหน้า
ระหว่างการผ่าตัดแพทย์จะใช้เครื่องฟลูออโรสโคป C-ARM
ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการใส่ข้อสะโพกเทียม และประเมินความสั้นยาวของสะโพก
จึงหมดห่วงว่าหลังผ่าตัดแล้วขาทั้งสองข้างสั้นยาวไม่เท่ากัน โดยแผลยังมีความยาวประมาณ 3-4 นิ้ว และตื้นมาก
สำหรับสุภาพสตรียังสามารถซ่อนแผลใต้ขอบบิกินี่ (Bikini incision) ได้อีกด้วย
คนไข้จะสูญเสียเลือดน้อย ฟื้นตัวได้เร็วอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อย
จึงสามารถเดินได้ตามปกติไม่ต้องกะเผลกเอียงตัว
สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้โดยไม่ต้องห่วงหากต้องลงน้ำหนักที่ข้อสะโพก
มีความเสี่ยงของการหลุดของข้อสะโพกเทียมต่ำ คือ 0-0.5% ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ในผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก
คือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งจะพบได้ประมาณ 7-30%ในผู้ป่วยที่มีกระดูกสะโพกหัก
สามารถป้องกันโดยให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวร่างกายและลุกเดินโดยเร็วหลังการผ่าตัดร่วมกับการให้ยาป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
พญ. ธันยาภรณ์ ตันสกุล แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะพักฟื้นการกายภาพและฟื้นฟูร่างกายโดยทีมสหสาขา
จะเป็นอีกทางเลือก ที่ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงได้เร็ว
สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ โดยไม่เป็นภาระของครอบครัว ลดภาวะแทรกซ้อนและลดอัตราการเข้ารักษาซ้ำ(re-admission) ที่โรงพยาบาล
โดยกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านระบบประสาทและสมอง ผู้ป่วยระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
ผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านการทรงตัวและการเคลื่อนไหว
เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดการตระหนักรู้ในการป้องกันการหกล้ม และมีความสามารถในการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ
แพทย์จะทำการตรวจประเมินความเสี่ยงในการหกล้ม
ให้การรักษาด้วยโปรแกรมฝึกความสามารถในการทรงตัวและการเคลื่อนไหว โดยแนวทางป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุ
อาทิการฝึกเดินที่ถูกต้อง รวมถึงการสวมรองเท้าที่เหมาะสม การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกำลังของกล้ามเนื้อ
ฝึกการทรงตัวทดสอบด้วยเครื่อง Balance Master เพื่อตรวจความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน
ทดสอบการเซ ความสมดุล จุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย เครื่อง Aquatic Treadmill เป็นเครื่องออกกำลังกายแบบสายพานวิ่งในน้ำ เพื่อช่วยผู้สูงอายุที่มีปัญหาการทรงตัว
ผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังผ่าตัดข้อกระดูกสันหลัง สะโพกเสื่อม กระดูกหัก
ช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณข้อต่อและกล้ามเนื้อ
ซึ่งเป็นโปรแกรมเฉพาะบุคคลที่สามารถปรับระดับน้ำได้ หรือใช้เครื่อง Alter-G Treadmill ลู่วิ่งต้านแรงโน้มถ่วงอุปกรณ์คล้ายถุงลมช่วยแบกรับน้ำหนักของร่างกายเอาไว้ได้สูงสุดถึง
80% ของน้ำหนักตัว
พญ. พัณณิดา กล่าวเสริมว่า ภายในรพ. กรุงเทพ เรามีรพ.ชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการทางการแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพระยะฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัดและต้องการฟื้นฟูทำกายภาพบำบัด เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าตัดกระดูกสะโพก และผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อย่างอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือ อาการบาดเจ็บทางศีรษะ (Traumatic brain injury)หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรง มีอาการบาดเจ็บหลายระบบของร่างกาย หรือกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคประจำตัว โดยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ อายุรศาสตร์ผู้สูงอายุและเวชศาสตร์ฟื้นฟู พยาบาล นักกายภาพบำบัด ให้การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ภาวะโภชนาการ รวมถึงพัฒนาศักยภาพ ความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ครอบคลุมถึงสุขภาพร่างกาย จิตใจ แบบองค์รวม เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยเหลือตัวเองได้ หรือมีส่วนร่วมในสังคมได้ดีขึ้น พร้อมด้วยห้องพักผู้ป่วย ที่เป็นสัดส่วน สะอาด ทันสมัย ออกแบบฟังค์ชั่นการใช้งาน โดยคำนึงถึงผู้ป่วยในระยะพักฟื้นโดยเฉพาะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายสื่อสารการตลาด โรงพยาบาลกรุงเทพ
ปานฤทัย คงยิ้มละมัย (ปิงปอง) หัวหน้าฝ่ายสื่อสารการตลาด (PR) / โทร 02 755 1639 มือถือ 088-654-5099
ตัวแทนประชาสัมพันธ์ โดยบริษัทแมสคอท คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โทร. 02-732-6069-70
อำไพพรรณ นภาสกุลคูโทร. 086-351-7729
จารุวรรณ ศิริปัญจนะ โทร.081-819-7682
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น