วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562



ส่อง 2 หญิงเก่งแห่ง “พรรคประชาชาติ”  ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม, วรลักษณ์ ศรีสอาด (จูฟะห์)
2 หญิงเก่งแอนด์แกร่งแห่งพรรคประชาชาติที่มี “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” เป็นหัวหน้าพรรค ที่จะพาไปรู้จัก หญิงเก่งคนแรกดีกรีระดับด็อกเตอร์ ผ่านเวทีการเมืองที่เคยสร้างปรากฏการณ์ นักการเมืองสวยต้องบอกต่อ นั่นก็คือ “ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม” และอีกหนึ่งหญิงแกร่งน้องใหม่ที่จะมาเปิดซิง ชิง ส.ส. กทม.เขต 13 จับได้เลขดีเบอร์ 14 นามว่า “วรลักษณ์ ศรีสอาด(จูฟะห์)”
ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม หรือ ดร.อ้อ ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาชาติ เคยผ่านร้อนผ่านหนาวในเวทีการเมืองระดับชาติ การรันตีความสามารถว่าเธอคือหญิงเก่งแอนด์แกร่งที่คนไทยไว้วางใจ เคยทำหน้าที่เป็น “รองโฆษกรัฐบาล” ปี 2544 ยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร, เคยเป็น ส.ส. เขต 10 กทม. หายหน้าไปจากวงการการเมืองไทยตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2549 ดร.อ้อ บอก 3 เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจกลับเข้าสู่วงการการเมืองอีกครั้ง เหตุผลแรก คือ ในฐานะที่เป็น “ครู” อยากเป็นตัวอย่างที่ดีในแง่ของ “ประชาธิปไตย” เหตุผลที่สอง เพื่อเข้ามาผลักดัน การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของเด็กไทย ที่ได้ทำโครงการร่วมกับประเทศแคนาดา สร้างวิธีการเรียนรู้ใหม่ให้กับ เด็กนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (9 โรงเรียนสังกัด สพฐ. , 6 โรงเรียนสังกัด อปท.) รวมเวลากว่า 10 ปีแล้ว และเหตุผลสำคัญ คือ ความเชื่อในทฤษฎี “พหุปัญญา” ดึงจุดเด่นของมนุษย์ เคารพในความแตกต่าง
การหวนสู่เวทีการเมืองอีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้ของ ดร.อ้อมาในนามรองหน้าพรรคประชาชาติ ที่เข้ามาดูแลเรื่องการศึกษา สตรี เยาวชน และช่วยผู้สมัครในกรุงเทพฯ ลงพื้นที่ พร้อมไปปราศรัยทั่วประเทศในนโยบายหลักของพรรค การกลับมาลงพื้นที่กับผู้สมัคร ส.ส. ภายใต้พรรคประชาชาติ  แม้จะเป็นพรรคใหม่แต่ก็ยังยึดมั่นว่าไม่เอาเผด็จการเหมือนเช่นเคย ดร. อ้อบอกเล่าถึงผลตอบรับจากประชาชนจากการลงพื้นที่ว่าประชาชนบอกว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นก็ต้องมีประชาธิปไตย นั่นก็คือการเลือกตั้ง
“ได้รับการตอบรับจากประชาชนในนาพรรคประชาชาติเป็นอย่างดี ประชาชนบอกว่าถึงเวลาที่ประชาธิปไตยจะกลับมา นั่นก็คือการมีการเลือกตั้ง ซึ่งห้าปีแล้วที่เราไม่มีประชาธิปไตย หลังจากได้ไปทักทายพ่อค้า แม่ค้า ประชาชน ต่างบอกว่าอยากให้เศรษฐกิจดีขึ้น เศรษฐกิจจะดีขึ้นก็ต้องมีประชาธิปไตย นั่นก็คือการเลือกตั้ง
ผลการตอบรับดีเพราะพรรคเราเป็นผู้หญิงโดยเฉพาะเขตนี้ (กรุงเทพฯเขต 13 บางกะปิ - วังทองหลาง(เฉพาะแขวงพลับพลา) ได้ส่งคุณวรลักษณ์ ศรีสอาด (จูฟะห์) เบอร์ 14 ซึ่งจูฟะห์เป็นคนอ่อนน้อม ขยันทำงาน ที่เราตั้งใจส่งคุณจูฟะห์ลงเขตนี้ก็เพราะว่า พี่น้องทำมาค้าขายเยอะต้องการความช่วยเหลือ มีชุมชนแออัดด้วย ผู้หญิงเขตนี้ถ้าเป็นแม่บ้านก็จะอยู่บ้าน  ก็เลยส่งผู้หญิงที่เป็นคนละเอียด อดทน ซึ่งคุณจูฟะห์เหมาะสมที่จะลงมาในเขตนี้ที่สุด”




ในส่วนนโยบายหลักของพรรคประชาชาติที่ทำให้ ดร.อ้อ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคนั่นก็คือเรื่องความเท่าเทียม  ซึ่ง ดร.อ้อ มองว่าตอนนี้ประเทศไทยมีความความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง พ่อค้าแม่ขาย ที่อยู่ตามท้องถนน ตลาดสด ต้องมีมีสิทธิ์ มีเสียง ไม่ใช่ให้นายทุนใหญ่ๆ มาเปิดขายสินค้าแข่ง ทำให้คนระดับล่าง หมดโอกาสลืมตาอ้าปาก พรรคประชาชาติจึงเข้ามาอาสามาลดช่องว่างนั้น แล้วพร้อมที่จะเปิดโอกาสช่องทางไม่ว่าจะในเรื่องกฎหมายที่จะทำให้คนเล็ก ๆ ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และทั้งประเทศได้ลืมตาอ้าปาก
ดร.อ้อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเธอจะเข้าดูแลในเรื่องการศึกษา สตรีและเยาวชนเป็นหลักซึ่งเป็นนโยบายที่เธอพร้อมที่จะผลักดัน
“จะเข้ามาดูแลเรื่องการศึกษา สตรีและเยาวชน นโยบายด้านการศึกษา จะผลักดันให้เป็นการศึกษาต่อเนื่องโดยไม่เสียค่าใช่จ่าย เพราะการศึกษามันเป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะได้สิทธิ์ในการศึกษาตั้งแต่ประถมถึง มัธยม  แต่พรรคเราจะขยายไปถึงปริญญาตรี และสนับสนุนให้เรียนรู้ไปถึงแก่ เฒ่าเลย เป็นระบบที่เรียกว่าออนไลน์ เป็นองค์กรจัดการความรู้ปัญญาอัจฉริยะ เราจะสร้างเครือข่ายออนไลน์เชื่อมกับบัตรประชาชน ซึ่งจะได้รู้ข้อมูลว่าตั้งแต่เด็กจนแก่เรียนอะไรมาบ้าง เราจะได้รู้ว่าจะพัฒนาคนไทยแต่ละคนได้ยังไง”







ด้านวรลักษณ์ ศรีสอาด (จูฟะห์) อีกหนึ่งหญิงเก่งที่พรรคประชาชาติภูมิใจเสนอส่งลงมาชิง ส.ส. กรุงเทพฯ  เขต 13 บางกะปิ - วังทองหลาง(เฉพาะแขวงพลับพลา) เธอจับได้หมายเลขเบอร์ 14 แม้จะเป็นหน้าใหม่ แต่มีความเก๋าในท้องที่ หลังจากตระเวนลงพื้นมาระยะหนึ่ง จูฟะห์บอกว่าพร้อมมาก และมั่นใจในการลงชิง ส.ส. ในนามพรรคประชาชาติในครั้งนี้
“ตอนนี้มีความพร้อมเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ในส่วนของตัวเอง เรื่องการตอบรับไม่ว่าจะเดินทางไปไหน คนถามว่ามาจากพรรคไหน ตอบว่ามาจากพรรคประชาชาติก็จะได้รับการตอบรับที่ดีมาก” จูฟะห์ บอกว่าพร้อมมากถึงแม้จะเป็นหน้าใหม่แต่ความพร้อมเกินร้อย การลงมาสมัคร ส.ส.ในครั้งนี้ เธอบอกว่าต้องการที่จะมาแก้ปัญหาเรื่องปากท้องให้คนในพื้นที่
“ถ้าได้รับเลือก สิ่งที่อยากทำ คือการดูแลปัญหาในแต่ละพื้นที่ นอกจากปัญหาระดับประเทศแล้วการแก้ปัญหาชุมชนพื้นที่ก็จะแตกต่างกันไป เรื่องที่อยากผลักดันคือเรื่องปากท้องของพี่น้องเป็นเรื่องแรก เรื่องที่สองคือเรื่องอาชีพ เรามีทีมงานคุณณหทัยมาดูในตรงนี้ เราเชื่อว่าการจะสร้างคนมันต้องสร้างตั้งแต่เล็กไม่ใช่มาสร้างเอาตอนอยุสิบแปด อย่างพื้นที่ของพี่มีเด็กในวัยเรียน แต่ปัจจุบันที่ไปสัมผัส น้องกลับจากโรงเรียนแล้วไม่ช่วยอะไรที่บ้านเลย คือเล่นเกมอย่างเดียว ไม่ได้ล้างจานเหมือนพี่สมัยก่อน ดังนั้นการจะสร้างคุณธรรมจริยธรรมต้องสร้างจากเด็กเพราะว่ามันจะสานต่อไปถึงอนาคตได้”
ในฐานนักการเมืองหน้าใหม่ แต่เป็นคนหน้าเก่าในพื้นที่เธอได้ฝากข้อคิดถึงพี่น้องชาวคลองจั่นและเขตุ 13 ว่า
“ขอฝาก วรลักษณ์ หรือจูฟะห์ เบอร์ 14 ไว้พิจารณาด้วย ถึงจะหน้าใหม่ทางการเมือง แต่มุ่งมั่น มั่นใจที่จะดูแลและพัฒนาคนบ้านเรา เพราะมั่นใจว่าคนที่ที่จะรู้ปัญหาต้องเป็นคนบ้านเดียวกัน คนที่อยู่กับปัญหาจริง ๆ ถึงจะแก้ปัญหานั้นได้ แต่คนที่ไม่ได้อยู่กับปัญหา หรือคนที่ไม่ใช่หัวอกเดียวกันการแก้ปัญหามันจะสำเร็จได้ยากต้องคนที่รู้ปัญหาจริงและพร้อมที่จะแก้ไข พร้อมมีคุณธรรมในตัว
และในฐานะเป็นมุสลิม มันมีความละเอียดอ่อนในตัว แต่ความละเอียดอ่อนมันคือจุดเข็งของผู้หญิงมุสลิมที่จะดูแลคนทั่วไปว่าไม่จะเป็นมุสลิม หรือคนนับถือศาสนาอะไร โดยอย่างยิ่งคำว่าสังคมที่แตกต่างกัน เราแตกต่างกันได้แค่เรื่องภาษา วัฒนธรรมแต่สุดท้าย ถ้าเราสามารถรวมความแตกต่างนำมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แล้วนำมาสร้างความสัมพันธ์ให้เป็นหนึ่งเดียว พี่ว่ามันจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน” นี่คือวิสัยทัศน์ของหญิงเก่งจากพรรคประชาชาติที่ชื่อว่า วรลักษณ์ ศรีสะอาด
สุดท้ายเธอบอกว่า “ถึงจะเป็นน้องใหม่ แต่มีความพร้อม แบบเกินร้อย มันมีแรงผลักจากปัญหาที่เราเจอ พี่อยู่ตรงนี้มาสามสิบกว่าปี ปัญหาของพี่น้องที่เราเจอมา สัมผัสมา เป็นปัญหาที่ตรงกับตัวเราด้วย ในสิ่งที่เราต้องการ พี่น้องต้องการ ปัญหาตรงนี้ถ้าเรารู้ เราสามารถแก้ได้ พี่มีความพร้อม รู้ต้นสายปลายเหตุคืออะไรน่าจะแก้ได้ง่ายกว่า เพราะเราเป็นคนในพื้นที่ได้สัมผัสความจริง
พี่เชื่อว่าจะประชาชนจะมองเห็นความมุ่งมั่นของเราถึงแม้จะเป็นคนหน้าใหม่ แต่ประชาชนเขาก็ยินดีพร้อมที่จะรับสิ่งใหม่”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น