เมื่อ "บุหรี่ไฟฟ้า-กระท่อม" คุกคามเยาวชน...พลังศาสนาและชุมชนผนึก ศอ.บต. สู้ศึกยาเสพติด
วันที่ 30 กค. ที่ ห้องประชุมมัสยิดบ้านพลีใต้ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ไม่ใช่เพียงแค่การรวมตัวของผู้บริหารโรงเรียนและเจ้าหน้าที่รัฐ แต่คือการประกาศสงครามครั้งใหม่กับภัยเงียบที่กำลังกัดกินอนาคตของเยาวชนชายแดนใต้ โดยเฉพาะ "บุหรี่ไฟฟ้า" และ "น้ำกระท่อม" ที่ถูกระบุว่าเป็นประตูสู่ยาเสพติดร้ายแรง
ภายใต้การนำของ นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาเพื่อความมั่นคง ศอ.บต. ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. ชมรมโรงเรียนเอกชนเขตพิเศษสงขลา และโรงเรียนมิฟตาฮุดดีน (บ้านพลีใต้) ได้ผนึกกำลังจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ ลดจำนวนนักเรียนกลุ่มเสี่ยง และจัดตั้งคณะทำงานเฝ้าระวังยาเสพติดในสถานศึกษา
นายธีรวิทย์ เฑียรฆโรจน์ กล่าวย้ำถึงความน่ากังวลของสถานการณ์ปัจจุบัน "กระท่อมซื้อง่ายขายคล่อง...วันนี้ทางรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนเรื่องยาเสพติด โดยเฉพาะ 'วาระพืชกระท่อม 120 วัน' ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน และจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนนี้"
เขาเน้นย้ำถึงอันตรายของทั้งสองสิ่งนี้ว่า "เราถือว่ากระท่อมเป็นสิ่งเสพติดที่จะนำไปสู่สิ่งเสพติดชนิดอื่นได้ง่าย เหมือนบุหรี่ไฟฟ้าเลย จากกระท่อมไปเป็นยาบ้าได้ และจากบุหรี่ไฟฟ้าก็ไปเป็นยาบ้าได้" ข้อมูลบ่งชี้ว่ากลุ่มเสี่ยงและผู้เสพยาเสพติดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และ 4 อำเภอของสงขลา ยังคงมีจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้กระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้า
นายธีรวิทย์ เชื่อมั่นว่าพลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในการแก้ไขปัญหายาเสพติด คือ "พลังของภาคศาสนา ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และที่สำคัญที่สุดคือพลังทางสังคม" เขายังคาดการณ์ว่าหลังจากสิ้นสุดวาระ 120 วันของพืชกระท่อมแล้ว จะมีการขยายผลครอบคลุมถึงยาบ้าและยาเสพติดชนิดอื่นๆ เพราะปัญหายาเสพติดคือสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด และพื้นที่ชายแดนใต้ก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญสูงสุดเช่นกัน
นายดุลยรัตน์ บูยูโส๊ะ ผู้อำนวยการโรงเรียนมิฟตาฮุดดีน (บ้านพลีใต้) ผู้ให้การต้อนรับคณะด้วยความหวังและความกังวล ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจจากงานวิจัยของโรงเรียนว่า "เด็กอายุตั้งแต่ 6 ขวบ เคยลองบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว และจะเป็นปัญหาใหญ่ในสถานศึกษาต่อไปในอนาคต"
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ "น้ำกระท่อม" ซึ่งจากการพูดคุยกับเยาวชนในพื้นที่ พบว่า กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเด็กบอกว่าเป็นสิ่งที่เลิกยากมากที่สุด
นายดุลยรัตน์ เล่าถึงคำสบประมาทที่เคยได้ยินเมื่อกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเมื่อ 20 กว่าปีก่อนว่า "ช่วยลบคำสบประมาทได้ไหม อย่าให้เขาพูดว่า มีโดมมัสยิดที่ไหน มียาเสพติดที่นั่น มันเป็นอะไรที่ฝังลึกมาตลอด" เขาต่อสู้กับเรื่องนี้มาตลอด และไม่คิดว่ากฎหมายจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยเป็นยาเสพติดให้ไม่เป็นยาเสพติดได้
"แต่ทางหลักการของศาสนา ยังไง 'ฮะรอม' ก็คือ 'ฮะรอม' (สิ่งต้องห้าม) ก็คือสิ่งต้องห้าม" นายดุลยรัตน์เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญ และฝากถึง ศอ.บต. และทีมงานให้ความสำคัญกับการ "ฟื้นฟู" ผู้ติดยาเสพติด ไม่ให้กลับไปใช้ซ้ำอีก เพราะปัญหาการกลับไปติดซ้ำนั้นมีจำนวนมาก และเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น
นายดุลยรัตน์ทิ้งท้ายอย่างเจ็บปวดว่า "ปัญหายาเสพติดจากสิ่งที่ขับเคลื่อนเรื่องสันติสุขมา เป็นปัญหาหลักนอกเหนือจากภัยความมั่นคงจาก BRN ซะอีกที่ชาวบ้านต้องการให้ยาเสพติดออกไปจากชุมชน เพราะยาเสพติดทุกชนิดทำลายสังคม และน่าเป็นห่วง" นี่คือเสียงสะท้อนจากหัวใจของคนในพื้นที่ ที่มองว่าภัยจากยาเสพติดได้หยั่งรากลึกและสร้างความเสียหายต่อสังคมมากกว่าปัญหาความมั่นคงบางประการเสียอีก
ตอริก สหสันติวรกุล รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น