วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

สืบนครบาลรวบ “มีนพระราม3” คาเตียงนอน ภัยร้ายวงการสาวกลางคืน รับเคยทำเหยื่อ 8 คน

 สืบนครบาลรวบ “มีนพระราม3”  คาเตียงนอน ภัยร้ายวงการสาวกลางคืน รับเคยทำเหยื่อ 8 คน




             มีนพระราม 3 แผนประทุษกรรมสุดแสบจนเหยื่อบางรายเกือบฆ่าตัวตาย ก่อเหตุมาจำนวนมาก ในพื้นที่นครบาล จนกระทั่งเหยื่อใจกล้าเข้าแจ้งเพจดัง และดำเนินคดีจนสามารถออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้ในที่สุด ล่าสุดผู้การจ๋อส่งสารวัตรแจ๊ะไปทลายแหล่งกบดาลคนร้ายย่านพระราม 3 แต่หลบหนีหัวซุกหัวซุนไปได้ฉิวเฉียด ส่งข้อความและโชว์ปืนเย้ยท้าทายระบบ จนสารวัตรแจ๊ะต้องเปิดโหมดหมาล่าเนื้อ ไล่ล่าเต็มรูปแบบ 48 ชั่วโมง จนคนร้ายไปจนมุมที่เพชรบูรณ์ โดยเจ้าตัวสารภาพกับผู้การจ๋อว่า “เคยทำแค่ 8 คน แต่ถ้าเปิดเผยใบหน้าจะมีคนมาแจ้งอีกเยอะ”



             เมื่อวันที่ 9  พฤษภาคม  2567  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ,พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์   วรกิตติ์ฐากรณ์  รอง ผกก.1 บก .สส.บช.น.  พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว รอง ผกก.สส บก.น.5    พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.3 บก.สส.บช.น.  พ.ต.ต.วศิน  อินทร์แก้วสว.ฝอ.บก.สส.บช.น. ร.ต.อ.ศิวัช  ยังอุ่น รอง สว. กก.4 บก .สส.บช.น. ร.ต.อ.วรภัทร แสงเทียนประไพร รอง สว.สส.2 ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.อ.หญิง ณิชญากาญจน์  เปสลาพันธ์ รอง สว.ฝอ บก.สส.บช.น.  ร.ต.ท.เลิศวริศ เลิศวรปรีชา รอง สว.ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร. ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อ้นชูฤทธิ์ รอง สว.สอบสวน สน.ดินแดง  ร.ต.ท.อนันตชัย สัจจพงษ์ รอง สว.ฝอ.2ฯปฏิบัติงาน ศอ.ปส.ตร.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบนครบาลร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว



              นายกิตติกร โต๊ะยีหวัง หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77/55 ม.10 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.447/2567 ลงวันที่ 7พฤษภาคม 2567 



            โดยกล่าวหาว่า  “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม”



             พบประวัติเคยถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 59 ในข้อหา “ครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายฯ” รับโทษอยู่ในเรือนจำเกือบ 3 ปี พ้นโทษเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 62

             จับกุมได้ที่ ห้องพักเลขที่ 59/9 หอพักบ้านโสภี ม.8 ต.สะเดียง อ.เมืองเพชรบูรณ์ จว.เพชรบูรณ์



             พฤติการณ์กล่าวคือ “โมเก๊-ทรงเอ” สมญานามของ “บังมีนพระราม3” วายร้ายที่กำลังเขย่าวงการสาวกลางคืน เพราะมันอาละวาดก่อเหตุในพื้นที่นครบาลมาไม่ต่ำกว่า 3 ปีแล้ว โดยแผนประทุษกรรมแสบของมัน เริ่มจากการแฝงตัวอยู่ในกลุ่มไลน์ของเหล่าเด็กเอ็น  จากนั้นจะปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งสาวทำทีทักไปหาสาวเอ็นเตอร์เทนโดยพุ่งเป้าไปที่สาวรูปพรรณ หน้าอกใหญ่ และกำลังประกาศหางานภายในกลุ่ม จากนั้นจะเริ่มใช้ทักษะการสนทนาแบบทรงเจ๊ “ป้ายยา” โปรโมทว่ามี “ลูกค้ารวย” สนใจ หว่านล้อมจนทำให้เหล่าสาวเอ็นเตอร์เทนเข้าใจว่าตัวเองโชคดีที่จะได้เจอลูกค้ารายนี้ เมื่อเหยื่อสาวเอ็นหลงกลตกลงรับงานจากคนร้ายแล้ว มักจะนัดหมายเหยื่อไปในสมรภูมิของมันคือย่าน “พระราม3” ซึ่งก่อนจะเจอกันคนร้ายจะให้เหยื่อสาวไปถอนเงินในบัญชีมาเป็นเงินสดให้หมด โดยใช้อุบายว่าได้เดิมพันกับเพื่อนไว้ ว่าเด็กเอ็นเตอร์เทนวันนี้พกเงินสดมาเท่าไหร่ ถ้าใครทายถูกก็จะได้เงินจากการเดิมพัน หากชนะพนันจะนำเงินที่ชนะพนันมาแบ่งให้กับเหยื่อสาว เมื่อเหยื่อถอนเงินสดมาไว้เต็มกระเป๋าแล้วเดินทางมาถึงจุดนัดพบ คนร้ายจะแปลงกายจากโมเดลลิ่งในแชทไลน์มาปลอมตัวเป็น “ลูกค้า” ทำทีโอ้อวดว่าเป็นเสี่ยก่อน คนร้ายจะเดินเกมต่อโดยใช้เทคนิค “ไม่จ่ายเงินก่อน” จนกว่าจะเสร็จงานอันเป็นการเหนี่ยวรั้งเหยื่อไว้ ซึ่งหากเหยื่อรายใดท้วงติง คนร้ายจะเกทับด้วยการคุยโวว่าจะจ่ายเงินเพิ่มซึ่งบางรายถูกบังคับให้สไลด์หนอนให้คนร้ายตลอดทางไปที่พัก ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเผด็จศึก โดยที่แสบทรวงคือเหยื่อจะถูกกระทำอย่างรุนแรงมาก และกระทำเป็นจำนวนหลายครั้ง บางรายทนไม่ไหวก็จะถูกข่มขู่ว่ามีอาวุธปืนทำให้เหยื่อกลัวและจำยอม แล้วท้ายสุดยัง “แอบฉกเงินสด” ในกระเป๋าของเหยื่อก่อนจะหนีหายไป โดยบางรายถูกลวงให้ไปซื้อของ บางรายถูกลวงไปปล่อยทิ้งข้างทาง ปล่อยเหยื่อรอเก้อแล้วหายตัว  เรียกได้ว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อนั้น “เสียทั้งตัวและเสียทั้งตังค์” เหยื่อบางรายเกือบคิดสั้นเพราะเงินสดที่ถูกมันขโมยไปนั้นแทบจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของเหยื่อ ที่น่าตกใจกว่าคือเมื่อเหล่าสาวเอ็นได้มีการสำรวจกันในวงการจนทราบว่ามีคนตกเป็นเหยื่อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ราย แต่เกือบทั้งหมดไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดีเพราะอับอาย  ถูกข่มขู่ว่าจะปล่อยคลิปลับ ได้แต่พากันสาปแช่งเท่านั้น ล่าสุดได้มีเหยื่อสาว 2 ราย ได้ขอความช่วยเหลือเพจสายไหมต้องรอด  โดยประสาน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. โดยได้พาเธอเข้าแจ้งความดำเนินคดี เข้าสู่กระบวนการสอบสวนกระทั่งตอนนี้ออกหมายจับคนร้ายรายนี้ได้แล้ว คือ นายกิตติกร หรือ มีนพระราม3 อายุ 33 ปี โดย พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ส่งชุดสารวัตรแจ๊ะไล่ล่าติดตามตัว โดยทราบเบาะแสว่าปัจจุบันคนร้ายไปอยู่ในกลุ่มแก๊งใหญ่ย่านพระราม 3 ชุดสืบสวนแกะรอยจนทราบว่าแหล่งมั่วสุดคือ ร้านขายขนมภายในซอยเจริญราษฎร์ 7 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพ แต่เป็นเพียงฉากหน้า เพราะหลังร้านนั้นเป็นแหล่งผลิตน้ำกระท่อมขาย หลังชุดสืบสวนซุ่มดูอยู่ 10 ชั่วโมง จึงนำกำลังบุกเข้าไปตรวจสอบภายในร้าน พบอุปกรณ์การผลิตและนำกระท่อมสำเร็จรูปจำนวนมาก แต่ไม่พบตัวคนร้าย ซึ่งพวกของคนร้ายในร้านได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนว่าคนร้ายพึ่งจะหลบหนีไปที่ จ.นนทบุรี และในขณะเดียวกันคนร้ายได้ทราบว่าชุดสืบสวนได้บุกมาที่นี่ คนร้ายได้ส่งข้อความไลน์มาว่า “เดี๋ยวไปมอบเอง ไม่ต้องหา จ้งแจ๊ะไรก็หากูไม่เจอหรอก” พร้อมส่งภาพอาวุธปืนลูกโม่ ท้าทายเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน เกมชิงไหวพริบได้เกิดขึ้นเมื่อคนร้ายได้วางแผนปล่อยข่าวสับขาหลอกชุดสืบสวนว่าตนเองอยู่ที่ จ.นนทบุรี แต่ชุดสืบสวนวิเคราะห์พฤติกรรมออกว่าเป็นกับดักลวง “ผมมีพวกอยู่เพชรบูรณ์” ประโยคสั้นๆที่ผู้เสียหายเคยได้ยินจากคนร้ายสะกิดใจนักสืบขึ้นมา แม้เป็นเพียงเบาะแสที่เบาบางแต่มันเป็นเบาะแสเดียวที่มี ชุดสืบสวนพร้อมใจกระโดดขึ้นรถบุกไปตายเอาดาบหน้าตามสัญชาตญาณ

ดิบ กว่า 6 ชั่วโมง ที่ จ.เพชรบูรณ์ ชุดสืบสวนงมเข็มในแดนเขาค้อจนได้เบาะแสจากชายขายใบกระท่อมคนหนึ่งในตัวเมือง จ.เพชรบูรณ์ ว่าพบชายหน้าแปลกมาซื้อใบกระท่อมกับกลุ่มเด็กแสบ ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่มีทางอื่นให้เดินแล้ว ชุดสืบสวนเลือกตามรอยเท้ากลุ่มจนกระทั่งช่วงดึกสงัดไร้เงาผู้คนชุดสืบสวนได้พบกับกลุ่มเด็กซ่องสุมดื่มน้ำกระท่อมกันอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งใกล้ๆตัวเมืองและได้พบคนร้ายสุมหัวอยู่ด้วย กว่า 40ชั่วโมง  รอจนกระทั่งรุ่งสางบุกเข้าไปรวบตัวคนร้ายรายนี้ได้สำเร็จ โดยไม่เกิดความสูญเสียใดๆ



         ในชั้นจับกุม นายกิตติกร ให้การภาคเสธโดยให้การว่า “ตนเคยเป็นระดับหัวจ่าย เคยถูกดำเนินคดีในคดีจำหน่ายยาเสพติดฯ เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลังจากพ้นโทษเมื่อปี พ.ศ. 2562 ตนได้หาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถรับจ้างและเป็นไรเดอร์รับส่งอาหาร โดยใช้บัญชีเพื่อนสนิทของตนในการทำงาน ในระหว่างที่ตนทำงานรับจ้าง ตนได้มีโอกาสทำงานให้กับ นางเอ (นามสมมติ) โดยที่นางเอเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นในช่วงนี้เองที่ตนได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานด้านโมเดลลิ่งและทำงานร่วมกับนางเอเป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งมีความรู้ความชำนาญในงานดังกล่าว ตนจึงได้ใช้อุบายโดยการแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มไลน์เพื่อปลอมตัวเป็นโมเดลลิ่งรับจัดหาเด็กเอ็นเตอร์เทนเพื่อไปดูแลลูกค้าในงานต่างๆ และอ้างตัวว่าตนเป็นสาวประเภทสองที่ทำงานในด้านนี้มานาน และทำทีพูดคุยว่าจะพาไปหาลูกค้าทำให้เด็กเอ็นฯ หลงเชื่อ โดยภายหลังจากที่ตนติดต่อพูดคุยรายละเอียดงานกับเด็กเอ็นฯในฐานะโมเดลลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตนก็จะใช้บัญชีไลน์อีกบัญชีหนึ่งแอบอ้างตัวเป็นลูกค้าเพื่อนัดเจอกับเด็กเอ็นฯเสียเอง โดยตนได้แฝงตัวเป็นโมเดลลิ่งและทำในลักษณะดังกล่าวกับเด็กเอ็นฯหลายรายโดยที่มีบางรายที่ตนเบี้ยวไม่ชำระค่าบริการให้ โดยทำเช่นนี้มาประมาณ 8 คน แต่ไม่ได้มีการขโมยเงิน หรือการข่มขืนตามที่เป็นข่าว และในวันที่ 5 พ.ค. 2567 ตนได้ทราบข่าวจากเพื่อนในกลุ่มว่าตนว่ามีภาพของตนออกรายการทีวีหลายรายการโดยรายละเอียดข่าวแจ้งว่าตนได้ลักทรัพย์ผู้เสียหายและหลอกผู้เสียหายไปข่มขืนเป็น 100 ราย ซึ่งหลังจากทราบข่าวตนอยู่ในอาการหวาดกลัวและตกใจเพราะตนไม่ได้กระทำดังเช่นข่าวกล่าวอ้าง จนวันที่ 7 พ.ค. 2567 ตนได้หอบเงินและหนีไปอาศัยอยู่กับญาติที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อหาทางสู้คดี ต่อมาวันที่ 7 พ.ค. 2567 ช่วงเวลากลางคืน ตนได้รับทราบจากร้านน้ำกระท่อมว่าตำรวจจากสืบนครบาล ชื่อสารวัตรแจ๊ะ มาบุกที่ร้าน ตนได้โทรไลน์ไปหาคนในร้านกระท่อม   ตนได้ส่งภาพอาวุธปืนไปให้หลังจากนั้นเพราะส่งผิด ส่วนที่บอกว่าตนท้าทายนั้น ไม่ได้เป็นการท้าทาย แค่เป็นการพูดตัดบท แล้วในเช้าวันต่อมาขณะที่ตนกำลังนอนพักอยู่ในห้องนอนของญาติที่เพชรบูรณ์ สารวัตรแจ๊ะก็มาปลุกตนถึงเตียง รู้สึกตกใจมากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมตนในตอนเช้าตรู่ เนื่องจากเมื่อคืนกลางดึกยังโทรคุยกับสารวัตรแจ๊ะอยู่เลย ไม่คิดว่าตื่นมาจะเร็วขนาดนี้ ยอมรับจากใจว่าชุดสืบนครบาลชุดนี้เก่งมากที่หาตนเจอได้”

หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายกิตติกร หรือมีนพระราม3 ส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆเพื่อดำเนินคดีตามกฏหมาย


            พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.กล่าวว่า “ในชั้นจับกุมเรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหารายนี้ เพราะเบาะแสล่าสุดที่เรามี มีผู้เสียหายมาเข้าแจ้งความเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก และจากการตรวจสอบในโทรศัพท์ของคนร้ายก็พบว่ากำลังแชทสนทนาลวงเหยื่ออยู่ถึง 8 ราย เมื่อดูจากหลักฐานต่างๆแล้ววิเคราะห์ได้ว่าคนร้ายรายนี้ก่อเหตุมา “เยอะมาก” ซึ่งหลังจากนี้เราจะมีการขยายผลให้ถึงที่สุด และผมขอเป็นกำลังใจให้กับทั้ง 2 ท่าน ที่กล้าออกมาทวงความยุติธรรม และขอให้ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อคนร้ายรายนี้โปรดแจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้มันได้ชดใช้กับสิ่งที่ก่อไว้ทั้งหมด แล้วไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ถ้าคุณถูกข่มเหงรังแก ผมพร้อมที่จะปกป้องพวกคุณ แม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์แต่หากเป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น