ตามนโยบายรัฐบาลและการปฏิบัติการโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายความมั่นคง
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำการปราบปรามอาชญากรรมที่ได้เกิดขึ้นหลายรูปแบบ
มีการขยายตัวเป็นวงกว้างและสลับซับซ้อน มีการนำเทคโนโลยีและเทคโนโลยีต่าง ๆ
เข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
รวมทั้งคดีที่บุคคลต่างชาติมีส่วนร่วมในการกระทำผิดรวมถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.
ได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(ศปอส.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผอ.ศูนย์ฯ มอบหมายให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์
หักพาล ผบช.ตม. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ ได้ทำการสืบสวนปราบปรามจับกุมมาอย่างต่อเนื่อง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.
เปิดเผยว่าการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากทางสถานฑูตญี่ปุ่น
ว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นกว่า 10 คน ถูกชายลักษณะเป็นหญิงหลอกตุ๋นเงินได้รับความเสียหายรวมกว่า
10 ล้านบาท
โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีถนนสุขุมวิท และทองหล่อ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร.
ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
ออกทำการสืบสวนหาข่าวในพื้นที่จนทราบว่าผู้ที่ก่อเหตุดังกล่าวคือ นาย อุทัย นันทะขันธ์ อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง อยู่บ้านเลขที่ 38 ม.2 ต.นาสอาด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี
ต่อมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 เวลาประมาณ 03.00นาฬิกา เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นาย อุทัย นันทะขันธ์ อายุ 43 ปี เลขประจำตัวประชาชน 3412000098518 ที่อยู่ 38 ม.2 ต.นาสอาด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ในความผิด“ฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ” ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.76/2562 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 (สน.ทุ่งมหาเมฆ)และ หมายจับศาล อาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.41/2562 ลงวันที่ 21 มกราคม 2562(สน.ทองหล่อ) ( ตามมาตรา 342 "ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ (1) แสดงตนเป็นคนอื่น .. ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ") โดยจับกุมตัวได้บริเวณหน้าโรงแรม มิตรภาพเทียร่า ซอยบุญอยู่ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพ ฯ และได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า นายอุทัยฯ
ได้กระทำผิดในลักษณะดังกล่าวมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี
ผู้เสียหายหลายร้อยคน ได้เงินร่วมหลาย 10 ล้านบาท
โดยนายอุทัย จะนำเงินที่ได้จากการหลอกหลวงในแต่ละครั้ง ไปเที่ยวเตร่
เลี้ยงเด็กผู้ชาย และเล่นการพนันออนไลน์
ขณะที่ นายอุทัย
ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า สาเหตุที่ทำให้ต้องก่อเหตุในลักษณะดังกล่าว
มาจากในช่วงที่ตนนั้นกำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 2 และได้ไปท่องเที่ยวกับผู้ชายชาวญี่ปุ่นที่เกาะบาหลี
ประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นถูกหลอกโดยปล่อยให้ตนอยู่ที่โรงแรมคนเดียว
และต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมด จึงรู้สึกคับแค้นใจ นอกจากนี้
ตนยังเคยถูกจำคุกในคดีดังกล่าวมาแล้ว และภายหลังจากการพ้นโทษ ได้มีการโพสต์ข้อความและภาพของตน
ในลักษณะแจ้งเตือนชาวญี่ปุ่นบ่อยครั้ง และไม่ยอมหยุด
ตนจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงกลับมาลงมือก่อเหตุซ้ำอีก
จากการตรวจสอบพบว่านาย อุทัย นันทะขันธ์
เคยต้องคดีในลักษณะดังกล่าวมาแล้วคือ
๑. ปี 2552
ถูกเจ้าหน้าที่ บก.ทท. ทำการจับกุมตัว “ข้อหาเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สิน
หรือทำให้สูญหายหรือ
ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารใดของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นนั้น”
๒. ปี 2554
ถูกเจ้าหน้าที่ บก.ทท. ทำการจับกุมตัว “ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง”
๓.สน.ทองหล่อ คดีที่ 190/2558 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. ทำการจับกุมตัวในข้อหา
“ฉ้อโกง”
๔.สน.ทองหล่อ คดีที่ 198/2558 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.
ทำการจับกุมตัวในข้อหา “ยักยอก”
๕.สน.ทองหล่อ คดีที่ 205/2558 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.
ทำการจับกุมตัวในข้อหา “ฉ้อโกง”
และพึ่งพ้นโทษมาเมื่อปลายปี 2561
ความเสียหายที่ผ่านมาที่สถานทูตได้รับเรื่องไว้
ปี 2554
ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 25 ราย
มูลค่าความเสียหาย 942,000 บาท
ปี 2555
ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 9 ราย
มูลค่าความเสียหาย 2,166,000 บาท
ปี 2557
ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 16 ราย
มูลค่าความเสียหาย 1,588,000บาท
ปี 2558
ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 2 ราย มูลค่าความเสียหาย
330,000 บาท
ปี 2561
ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 8 ราย
มูลค่าความเสียหาย 308,000 บาท
รวมมูลค่าความเสียหายที่ผ่านมา ประมาณ 5,334,000 บาท
ทั้งนี้ทาง ศปอส.ตร.
จะได้สืบสวนขยายผลว่ามีผู้อื่นที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวด้วยหรือไม่หากพบการกระทำความผิดก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
และขอนำเรียนประชาชนว่าหากพบการกระทำผิดในลักษณะเช่นนี้สามารถแจ้งข้อมูลมาที่สายด่วน
ศปอส.ตร. ๑๑๕๕ ,สายด่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ๑๑๗๘ และสายด่วน ๑๙๑ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น